ดีชั่วก็สมมุติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
มันตั้งใจ เราตั้งใจบวชแล้ว เวลาพูดถึง เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงศาสนา ศาสนานี่เห็นไหม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคุณประโยชน์มาก มีคุณประโยชน์นะ ผู้ที่เข้าถึงธรรม เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านตรัสรู้เลย ท่านบรรลุเลย น้ำตาไหลพรากๆ น้ำตาไหลพราก เห็นไหม มันล้างภพล้างชาติ มันซาบซึ้งมาก มันซึ้งมาก มันซาบซึ้งในหัวใจมาก
แล้วเวลาเราพูดถึง เห็นไหม รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งนี้เป็นรัตนตรัย เป็นที่พึ่งของเรา ถ้าเป็นที่พึ่งของเรา เวลาเราบวชเข้ามาแล้ว เวลาเราบวชเข้ามาแล้ว สิ่งที่ทำให้เราร่มเย็นเป็นสุขในใจ มันมีมากน้อยขนาดไหน ถ้ามีมากน้อยขนาดไหน แล้วไหนว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความร่มเย็นเป็นสุขมาก แต่ทำไมหัวใจของเรามันคับแค้นมาก มันคับแค้นนะ
อย่างสิ่งใดถ้าไม่ได้ถูกใจมันคับแค้นมาก แล้วเวลาธรรมะบอกว่านั่น เห็นไหม สิ่งนั้นเป็นตัณหาความทะยานอยาก แต่เวลาศึกษาธรรม เราว่าเรารู้ เราเข้าใจถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความคับแค้นใจ ความรู้สึกของเรา เห็นไหม ตัวนี้ตัวสัจธรรมความจริง ไอ้ที่เราไปศึกษามานะมันเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าพูดถึงฝ่ายปฏิบัตินะ ฝ่ายปฏิบัติบอกสมมุติ กริยานี่เป็นสมมุติ พุทธพจน์ๆ น่ะเป็นสมมุติ สมมุติเพื่อจะชี้เข้าไปหาถึงสัจจะความจริง เราเทศน์เป็นครั้งสุดท้าย สมมุติตามความเป็นจริง มันสมมุตินะ สมมุติจริงๆ คำสอนนั้นก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราศึกษาแล้ว เรารู้แล้ว เราเข้าใจแล้ว มันต้องมี เราต้องมีความซาบซึ้งสิ เราต้องมีความสุข แต่มันซาบซึ้งชั่วคราว เห็นไหม
สิ่งต่างๆ ที่เราศึกษาขึ้นมา มันสะเทือนใจมาก มันจะปล่อยวาง อารมณ์จะดีอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว มันก็คับแค้นใจ คับแค้นใจนะ มันคับแค้นใจ เหมือนร่างกายเรา เวลาอาบน้ำ ชำระร่างกายสะอาดพักหนึ่ง เดี๋ยวเหงื่อไคลมันก็ไหลออกมา พอเหงื่อไหลมันไหลออกมา มันก็ต้องทำความสะอาดกันตลอดไป
จิตใจของเรานี่มีอวิชชาในหัวใจ มันเป็นอย่างนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในหัวใจนะ ธรรมแท้ๆ ในหัวใจของพระสารีบุตร ของพระโมคคัลลานะน่ะ ธรรมแท้ๆ
แต่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสอนของพระสารีบุตร คำสอนของพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เห็นไหม สัทธิวิหาริกมหาศาลเลย ลูกศิษย์มาก เวลาเทศนาว่าการ เห็นไหม คนฟัง ฟังแล้วเข้าใจ ฟังเข้าใจ แล้วผู้ที่บรรลุธรรมตามความเป็นจริงมีมากน้อยขนาดไหน
คำสอนของพระสารีบุตร เป็นสมมุติว่า สมมุติที่เราสอนเขา เขา กิริยามันแสดงออกมา มันเป็นทฤษฎี การกระทำ วิธีการ แต่ใจของคนที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เห็นไหม ดูสิ พระอัสสชิ เป็นพระอรหันต์ เวลาพระสารีบุตรมาฟังเทศน์ของพระอัสสชิ ขอให้บอก กิริยาท่าทางน่าเคารพเลื่อมใสมากเพราะมีสติสัมปชัญญะ
สิ่งใด ใครเป็นศาสดาของพระอัสสชิ แล้วศาสดาสอนมาอย่างไร พระอรหันต์ เห็นไหม เพราะพระอรหันต์ มันจะเข้าใจถึงว่า สัจจะความจริงในหัวใจ ความรู้สึกเรามันอันหนึ่ง แต่เราบอกถึงความรู้สึกของเราให้เขาเข้าใจ เราจะบอกความรู้สึกเราให้เขาเข้าใจได้อย่างไร
การที่เราจะบอกให้เขารู้สึกถึงความเข้าใจของเราน่ะ เราถึงบอก บอกสิ่งที่เป็นเปรียบเทียบ สิ่งเปรียบเทียบให้เขาเข้าใจความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเรานะ ตั้งแต่เป็นปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามรรค อนาคาผล อรหัตมรรค อรหัตผล วิวัฒนาการ พัฒนาการของจิต ที่มันวิวัฒนาการ พัฒนาการของมันขึ้นไป พระอรหันต์จะเห็นอาการอย่างนี้นะ
ถ้าพระอรหันต์ไม่เห็นอาการของหัวใจเรา หัวใจพวกเราเป็นปุถุชน ศึกษาธรรมก็ศึกษาธรรมด้วยความเป็นสมมุติ สมมุติเพราะอะไร สมมุติเพราะเป็นความคิด มันเป็นสัญญา เป็นความจำ เป็นทฤษฎี เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณของการรับรู้ เป็นสัญชาตญาณของสิ่งที่มีชีวิต สัญชาตญาณเลย
ดูสัตว์สิ เวลามันมีปัญหาขึ้นมา มันต้องมีสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมัน มันจะหลบหลีกเอาตัวรอดของมัน มันเป็นสัญชาตญาณ แต่เราเป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุสสติรัจฉานโน เขาว่าสัตว์ประเสริฐ
คำว่าสัตว์ประเสริฐ เพราะอะไร เพราะสมมุติกันเองว่าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่พูดถึงมนุสสเปโต มนุสสติรัจฉานโน มนุษย์มีหลายประเภท เราก็ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เราก็ว่าเราก็หลงตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ
มนุสสติรัจฉานโน เห็นไหม ร่างกายเป็นมนุษย์ จิตใจเป็นสัตว์ มันทำร้ายยิ่งกว่าสัตว์อีก เวลาสัตว์นะ มันทำร้ายชีวิตกันหมดเนื้อหมดตัวนะ ดูสิ เวลาเขาโกงกัน เขาโกงกัน เขาทำร้ายกัน เขายักยอกกัน เห็นไหม เขาทำลายถึงตระกูลนั้นเลย เสร็จแล้วนะมันไม่จบ เพราะอะไร เพราะยังเป็นหนี้สิน ต้องตามไปใช้เขาอีก
แล้วไอ้นี่กรรมๆ ไอ้คนที่โดนทำร้าย ไอ้คนที่โดนฉ้อโกง โดนทำลาย เจ็บปวดในหัวใจ เจ็บช้ำในหัวใจนะ ตายไปแล้วก็เป็นความหนี้แค้นกันไป มันจบไหม มนุสสติรัจฉานโน ทำลายกันยิ่งกว่ามนุษย์ ยิ่งกว่าสัตว์ สัตว์เดรัจฉานมันกัด มันทำลายกันนะ เป็นอันว่าทำความเข้าใจได้ เห็นไหม เป็นอาหารของเขา
ดูสิ เห็นไหม เวลายุงมันจะมากัดเรา ยุงมันไม่เข้าใจนะ ยุงว่ามันเป็นอาหารของมัน มันเจาะเลือดเรากินก็เพื่อเป็นอาหารของมัน แต่เราว่ามันกัดเรา มันแพร่เชื้อให้เรา เราทำลายมัน เราทำลายมันเพราะเราป้องกันตัวของเรา แต่ของมัน มันว่าเป็นอาหารของมัน ดูปลวก ปลวกเวลามันขึ้นพวกเตียงพวกตั่งในวัด มันก็ว่าเป็นอาหารของมัน
แต่เราเป็นภิกษุ เราเป็นมนุษย์ เห็นไหม เป็นมนุษย์ เราศึกษาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัย ของๆ สงฆ์ เราจะดูแลรักษาอย่างไร เราจะดูแลรักษาของๆ สงฆ์ได้อย่างไร
ถ้าเราทอดธุระ เห็นไหม ไม่เอื้อเฟื้อในวินัย เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เห็นอยู่ ไม่ทำ เป็นอาบัติแล้ว ปาจิตตีย์ เป็นของๆ สงฆ์ ของๆ สงฆ์ สังฆะ สงฆ์เราเป็นผู้ดูแลของสงฆ์ เราไม่เอื้อเฟื้อในธรรมวินัย ในการรักษาดูแล เราไม่รักษาดูแล เราทอดธุระ ปรับอาบัติก่อนเลย
แล้วเวลาเราจะแก้ไข เราจะดูแลมัน กิเลสมันบอกแล้ว ไม่ได้ มันเป็นอาหารของ ปลวกมัน เดี๋ยวฆ่าสัตว์ เดี๋ยวอะไร กิเลสมันอ้างไปหมด เราทำด้วยความตั้งใจ เราด้วยความจงใจ เราทำด้วยความดีงาม เพราะอะไร เพราะมันเป็นบาปเป็นกรรม สัตว์ ใช่ ปลวกมันว่าไม้เป็นอาหารของมัน สิ่งนี้มันเจาะไชเพื่อเป็นอาหารของมัน เห็นไหม
เราเข้าไป อาหารของเอ็ง สิ่งที่ข้างนอกมันก็มีมหาศาล อาหารของเอ็ง ถ้าเอ็งกินอาหารถูกต้องตามสัญชาตญาณ ตามแต่สิ่งมีชีวิตมันต้องเป็นอาหารของมัน ฉะนั้น มันไปอยู่ข้างนอก มันไม่สร้างเวรสร้างกรรม อันนี้มันของๆ สงฆ์ ของๆ พระ ของๆ เจ้า ของๆ สงฆ์ แล้วเอ็งมากัดมากินใช้เป็นอาหารของเอ็ง แต่เอ็งไม่เข้าใจ เอ็งก็ได้รับกรรมต่อไปอีก เห็นไหม
เพราะชาตินี้ ชาติปัจจุบันนี้ เอ็งก็เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่แล้ว เอ็งไม่เข้าใจสิ่งใดเลย เพราะว่าสัตว์เดรัจฉาน เห็นไหม มันรักลูกรักครอบครัว รักเผ่าพันธุ์ของมัน มันปกป้องดูแลเผ่าพันธุ์ของมัน นั่นความดีของมัน แต่คราวนี้มันทำลายของสงฆ์ ที่มันเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็แล้วแต่
ดูสิ ธรรมวินัย เห็นไหม ผิดเพราะไม่รู้ ผิดเพราะเจตนา ผิดเพราะจงใจทำ ไม่รู้ทำไปก็ผิด ลังเลสงสัย ทำลงไปก็ผิด ลังเลสงสัย ทำก็ผิดแล้ว เราผิดหมดเลย นี่แหละมนุษย์ เพราะสัตว์ เห็นไหม สัตว์นี่ เราศึกษาธรรมวินัยๆ เพื่อจะมาแก้ไขเรา แต่สัตว์มันไม่รู้ แต่เรารู้ เรารู้เราจะแก้ไขอย่างไร เพราะเราอยู่ในสถานการณ์เหตุการณ์อย่างนั้น
เราก็พยายามเคาะ พยายามเอา ป้องกันมัน
๑. เพื่อป้องกันไม่ให้มันสร้างบาปสร้างกรรมของมันต่อไป
๒. เราทำเพื่อผลประโยชน์ของเราไง เพื่อไม่โดนปรับอาบัติ เพื่อเห็นแล้วไม่ทอดธุระ
เห็นไหม ใจที่มันเป็นธรรม เห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันเอื้อเฟื้อในธรรมในวินัย เอื้อเฟื้อ! เอื้อเฟื้อก็ธรรมวินัยก็เกิดกับใจเรา ไม่เอื้อเฟื้อ ปฏิเสธ เราปฏิบัติธรรมนะ อยากจะบรรลุมรรคผลนิพพานนะ แต่ไม่เปิดใจของตัวเองเข้าเลย ใจเป็นโลกๆ ไง ใจเราเป็นเรื่องโลกๆ คิดไง คิดโดยกิเลสไง ไปทำไม่ได้เดี๋ยวปลวกมันตาย เดี๋ยวปลวกมัน...
เราป้องกัน หน้าที่ ดูสิ เวลาเขาดับเพลิง เจ้าหน้าที่ดับเพลิง เขาดับไฟ เขาดับไฟ เขาทำลายไหม ดับเพลิง เวลาเพลิงมา เขาเอารถแทรกเตอร์ เขาไถเลยนะ ทางดับไฟ เห็นไหม บ้านเรือนดีๆ ไถทิ้งเลย เพราะมันต้องตัดให้ไฟจบที่นี่ ถ้าเราไม่ไถเลย ไม่ป้องกันไว้มันก็ลามต่อไปหมดทั้งเมือง
การป้องกันรักษามันก็อย่างหนึ่ง การป้องกันรักษามันก็ต้องลงทุนเหมือนกัน ต้องทำเหมือนกัน เห็นไหม แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ใจเราเป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม มนุสสติรัจฉานโน ถ้าเป็นมนุสสเทโว เห็นไหม ใจเป็นสาธารณะ ใจเป็นสิ่งที่ดี เราทำของเรา
ถ้าเราคิดของเรา เราเปิดใจของเรากว้าง ใจของเราจะเข้าไปถึงธรรมวินัย ถ้าธรรมวินัยเกิดมาจากใจเรา เห็นไหม ใจเป็นผู้สัมผัสธรรมๆ สิ่งที่ศึกษา เราก็ศึกษา นี่พูดถึงการศึกษา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มันเป็นพื้นฐาน ต้องศึกษา แต่ศึกษาแล้วเราจงใจแค่ไหน เราทำได้มากน้อยแค่ไหน ศึกษาแล้วข่มใจ การข่มใจขันติบารมี เห็นไหม การข่มใจ การข่มใจไม่ทำในสิ่งที่กิเลสตัณหาทะยานอยากมันต้องการของมัน
มันทำหน้าที่อย่างนั้น มันทำงานของมันนะ กิเลสมันทำงานของมัน เห็นไหม มันหน้าที่ยุแหย่ใจไง ไอ้นั่นดี ไอ้นั่นไม่ดี ไอ้นั่นพอใจไม่พอใจ มันทำหน้าที่ของมัน พอทำหน้าที่ของมันไปแล้ว กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ การกระทำ เห็นไหม วิปากวัฏฏ์ วิบากเกิดกับเราแล้ว มันยุแหย่ ถ้าเรายุแหย่เราไม่มีธรรมนะ เราไม่มีธรรม มันยุแหย่ เห็นไหม
ดูสิ ปฏิบัติธรรมต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น คาดการณ์กันไปหมดเลย แล้วปฏิบัติได้อะไรมา คว้าน้ำเหลว คว้าน้ำเหลวเพราะอะไร เพราะกิเลสมันสร้างภาพ กิเลสมันสร้างภาพไว้หมดเลย แล้วเราทำตามมันไป ตามมันไป จบสิ้นแล้วได้อะไรขึ้นมา ก็ได้ความเจ็บปวดไง ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย
แต่ถ้าเราทำด้วยสติสัมปชัญญะ โดยธรรม ทำโดยธรรมนะ ตั้งสติ ยับยั้งมัน ตั้งสติ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญาก็แล้วแต่ ก็ตั้งสติ แล้วเรามีการกระทำของเรา นี่เห็นไหม เห็นไหม ดูสิ ญาณ เหตุไง เหตุปัจจะโย อารัมมะณะปัจจะโย อภิธรรม เหตุปัจจะโย อารัมมะณะปัจจะโย อารัม เห็นไหม เหตุ อารมณ์ สิ่งที่มันเป็นไป มันจะเกิดขึ้น มันมีธาตุ สถานะความเป็นจริงที่จับต้องได้
ถึงจะเป็นสมมุติ มันก็เป็นสมมุติ ต้องเป็นสมมุติไปก่อนนะ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นสมมุติ การบวชก็เป็นสมมุติ เป็นสงฆ์โดยสมมุติ เวลา ๔ องค์ขึ้นไปเป็นสงฆ์ อันนั้นเป็นสงฆ์โดยสมมุติ สมมุติทั้งนั้น แต่สมมุติตามความเป็นจริง บวชเป็นสงฆ์ขึ้นมานี่สมมุติสงฆ์ เราบวชแล้วเป็นสมมุติสงฆ์ ๔ องค์ขึ้นไปถึงเป็นสงฆ์ เป็นสงฆ์ขึ้นมา ๕ องค์ สวดอุโบสถ กิจกรรมของสงฆ์ทั้งนั้น วินัยกรรม การกระทำเป็นวินัยกรรม มันเป็นสมมุติใช่ไหม แม้แต่เกิดก็เป็นสมมุติ บวชเป็นสงฆ์ พระก็เป็นสมมุติ
แต่เวลามันเป็นพระขึ้นมา นางวิสาขาไม่ได้บวชพระ แต่นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ไม่ได้บวชพระ พระเจ้าสุทโธทนะก็ไม่ได้บวชพระ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์เลย ไม่ได้บวชพระแต่ว่าบวชที่ใจ ถ้าบวชที่ใจเห็นไหม ถ้าเราทำใจเราได้ มันไม่ได้สมมุติ
พระในใจเป็นพระจริงๆ ไม่ใช่พระสมมุติ แต่พระที่กายนี่เป็นพระสมมุติ ทีนี้ความเป็นสมมุติ มันต้องเอาสมมุติสิ่งนี้เข้าค้นเข้ามาหาตัวเรา เอาสมมุตินี่แหละ เห็นไหม ดูสิ เวลาพระโมคคัลลานะ เห็นไหม ไปเห็นที่ว่าเขาไป ที่เสพกามน่ะ แล้วเพ่งทีเดียว เลยเป็นกรรมของเขา ไปทำเขาก็สงสารเขา อยากจะช่วยเหลือมาก
ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น่าสงสารมาก เรื่องของกาม น่าสงสารมาก เราจะช่วยเหลืออย่างไร พระเขาพยายามจะเสพกับพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะไม่ยอม กรรมของเขาหนักมาก หนักขนาดไหน ตัวเองช่วยไม่ได้ ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกช่วยไม่ได้ กรรมของเขา เขาสร้างของเขาเอง
นี่ไง เห็นไหม กิเลส เวลาเขาเกิดกิเลสขึ้นมา เกิดการกระทำ กรรมมันเกิดกับเขา เกิดกับเขา แล้วกรรมทำไมมันโหดร้ายขนาดนี้ ขอดูซิกรรม พระพุทธเจ้าบอกโหดร้าย ขนาดไหน โหดร้าย กรรมยิ่งหนักใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นดินนี้ ขอดูแผ่นดิน เหาะขึ้นไปเลย
พระพุทธเจ้าบอกเลย ถ้าเธอมองออกไปจนโลกนี้เท่าใบมะขามนะ เล็กกว่าใบมะขามนะ อย่าออกไปอีก ไปดู ดูผลของกรรมไง ดูผลของกรรม เพราะนี่ไง หลุดไปเลย พระโมคคัลลานะหลงทิศ จนพระพุทธเจ้าอีกองค์ส่งกลับมา มาเฝ้าพระพุทธเจ้า
โอ้โฮ ทำไมเรื่องของกามมันให้ผลรุนแรงขนาดนี้
โมคคัลลานะเธอพูดอย่างนั้นไม่ได้
กรรม เรื่องของกามน่ะ คนที่ใช้มันผิดต่างหาก คนที่เขาใช้มันถูกนะ ทางโลกเขาว่ากามคุณ ๕ ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ไม่มีธรรมชาติสิ่งนี้ ดูสิ เป็นธรรมชาติ เรื่องกามนี่เป็นธรรมชาติเลย ถ้าไม่มีธรรมชาติสิ่งนี้ เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ เผ่าพันธุ์ของสัตว์โลก มันมีได้ไหม
แต่เพราะเรา ตถาคต เกิดมาจากพ่อจากแม่ เราก็เกิดมาจากกาม พระพุทธเจ้าก็เกิดมาจากกาม พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ทุกคนเกิดมาจากกาม เกิดมาจากพ่อแม่ ไม่ได้เกิดมาจากกาม มันเกิดมาจากอะไร ก็เกิดมาจากกาม แต่เอากามมาสร้างคุณงามความดี
สร้างคุณงามความดี ทำคุณงามความดี แต่เขาเอากาม เห็นไหม กามมันสร้างจากทางโลก แล้วถ้ากิเลสตัณหามันยุแหย่เข้าไปอีก เห็นไหม จะมีร้อยผัวพันเมียก็ว่ากันไป เห็นไหม เพราะว่ากามมันกระตุ้นขึ้นมา นี่เราเกิดมาจากกาม แต่กามมันปฏิเสธไม่ได้ไง เราเกิดจากสถานะที่เป็นสัจจะความจริง มันเป็นความจริงอันหนึ่ง มันเป็นเรื่องของธรรมชาติอันหนึ่ง
แต่ถ้ากิเลสตัณหาทะยานอยากมันไปยุแหย่มันไปกระตุ้น มันไปสร้างของมันว่าต้องการ เห็นไหม สร้างสถานะทางสังคม ใครมีมาก ใครได้สัมผัสมาก คนนั้นมีสถานะว่า เป็นคนที่มีบุญกุศล มันบาปอกุศล นี่ถึงว่า มักน้อยสันโดษๆ มันมักน้อยสันโดษตรงนี้ไง ตรงที่ว่ามักน้อยสันโดษ
ในศีล ๕ เราเป็นชาวพุทธต้องมีศีล ๕ โดยธรรมชาติ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีล ๕ เห็นไหม กาเมสุมิจฉาจาร เราไม่ผิดในคู่ครองของเรา กามคุณ ๕ เราไม่ผิดในคู่ครองของเรา มันไม่ผิดศีล เพราะคู่ครองของเรา คู่ครองของเรา เห็นไหม ดูทางโลก เห็นไหม อย่างวัยรุ่นสมัยนี้ บอกเลย ในเมื่อสมัครใจด้วยกันแล้วไม่มีกรรม ไม่ผิดศีล ในเมื่อสมัครใจด้วยกัน มันจะไม่ผิดศีลไปไหน นี่ไง กามคุณ ๕ ไม่ผิดศีลคู่ครองของเรา
คู่ครองเรา ถ้าไม่มีพ่อมีแม่ ไม่มีญาติผู้ใหญ่สู่ขอกัน มันจะเป็นคู่ครองกันได้อย่างไร การที่สู่ขอกันมา การประกาศสังคมรับรู้ เพราะอะไร เพราะพ่อแม่ สิทธิ สิทธิในครอบครัว สิทธิในพ่อในแม่ สิทธิ เห็นไหม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก นี่พ่อแม่อนุญาตให้แล้ว อนุญาตไป อนุญาตไป ครอบครัวนั้นประสบความร่มเย็นเป็นสุขของเขา นั่นก็บุญกุศลของเขา
ถ้าให้ไปแล้วครอบครัวของเขาเกิดปัญหา เกิดการกระทบกระทั่งกัน กระทบกระเทือนกัน อันนั้นก็เป็นกรรมของเขา คู่สร้างคู่สม คู่ทุกข์คู่ยาก คู่เวรคู่กรรม มันสร้างเวรสร้างกรรมกันมาทั้งนั้น ในเมื่อถูกต้องตามศีลธรรมจริยธรรม ในเมื่อมีการสู่ขอ มีการสู่ขอกัน นั่นไง ถึงไม่ผิดศีล แต่ถ้าเราไปสมัครใจด้วยกัน เรามีพ่อมีแม่ไหม ถ้าไม่ผิดศีล ทำไมไม่ทำต่อหน้าธารกำนัลล่ะ
ครอบครัวของเขา เขาอยู่กันในครอบครัวนะ เขาไปอายใคร ไอ้นี่ลักลอบกัน กล้าแสดงออกไหม ถ้าไม่กล้าแสดงออก เห็นไหม นี่ไง แล้วบอกไม่ผิด ไม่ผิดแล้วทำไมไม่แสดงออกมา มันผิดตั้งแต่ต้น มันผิดเพราะอะไร แล้วเพราะความสมัครใจของเรา เราคือใคร เราคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันต้องการ มันพอใจกัน
แต่ถ้ามันมีศีลธรรมจริยธรรมที่มันยับยั้งใจไว้นี่ไง เห็นไหม ยับยั้ง ถ้าเราจะมีคู่ มีความสัมพันธ์ต่อกัน เราต้องขอพ่อขอแม่ ให้ขอ! ให้แต่งงานก่อน! นี่ไง กามคุณ ๕ กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ผิดในคู่ครองของใคร นี่ไง ศีล ๕ สิ่งนี้กามคุณ ๕ แต่พอเราถือศีล ๘ เห็นไหม ศีล ๘ ห้ามแล้ว
ศีล ๘ ห้ามเพราะอะไร นี่ไง เอากามมาทำประโยชน์ไง เกิดมาจากกาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เราเกิดมาจากกาม เกิดมาจากกามแต่เอากามสร้างคุณงามความดี ถ้าไม่ได้เกิดมาจากกาม พระโพธิสัตว์เกิดมา เกิดมาตลอด เกิดมาจากไหน แล้วเกิดมาถึงที่สุด เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเอามาสร้าง นี่ไง พรหมจรรย์
เกิดมาจากกาม แต่ไม่สืบต่อไปอีก ถือพรหมจรรย์ พรหมจรรย์เกิดขึ้นมา พรหมจรรย์เพื่อใคร พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์นะ เราปฏิบัติพรหมจรรย์กัน ปฏิบัติพรหมจรรย์ ตอนนี้เราปฏิบัติพรหมจรรย์ ศีลเราบริสุทธิ์ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗
เนี่ยศีลที่เป็นเครื่องหมาย เห็นไหม ภิกษุ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร สมบัติของเราคือศีลธรรมไง สมบัติของเราคือศีลนะ ศีล ความปกติของใจ นี่สมบัติของเรา ถ้าสมบัตินี้มันเกิดขึ้นมา เห็นไหม มันสร้างคุณงามความดีของเราขึ้นมา ศีลจากภายนอก สมมุติทั้งนั้นน่ะ เวลาพูดอย่างนี้ ศีลของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้
บัญญัติไว้นี่เป็นกฎหมาย แล้วตัวศีลมันอยู่ที่ไหน ถ้ามันบัญญัติไว้เป็นศีลนะ ตำรามันก็เป็นศีลสิ หนังสือพิมพ์ไว้เป็นตั้งๆ เลย ศีล ๕ พิมพ์ไว้เป็นตั้งๆ แล้วใครเป็นศีล แต่ถ้าความปกติของใจขึ้นมา ถ้าจิตมันปกติ ศีล ๕ คือข้อบังคับ ๕ อย่างเราไม่ผิด เราไม่ผิดศีล เราไม่ผิดข้อบังคับ ๘ อย่าง ๑๐ อย่าง ๒๒๗ อย่าง
แล้วเวลาอธิศีล สติวินัย จิตไม่มีข้อบังคับใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมันพ้นจากสมมุติไปแล้ว จิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ที่สิ้นจากกิเลสไปแล้ว ไม่มีอาบัติ ไม่มีสิ่งใดๆ เลย ไม่มีข้อบังคับใดๆ ทั้งสิ้น อิสรภาพๆ นั่นสติวินัย แล้วข้อบังคับอยู่ไหน ข้อบังคับอยู่ไหน ข้อบังคับก็สมมุติไง ทุกอย่างสมมุติทั้งนั้น
จิตพ้นวิมุตติไปแล้ว สมมุติไปบังคับวิมุตติได้อย่างไร ในเมื่อเป็นของสมมุติ บังคับวิมุตติไม่ได้อยู่แล้ว ทีนี้ถ้าพูดถึง เป็นธรรม เป็นธรรมอย่างนั้น เราก็ตีความหมายใช่ไหม ทุกข์ก็เป็นสักแต่ว่าทุกข์ ทุกอย่างก็เป็นสักแต่ว่า แล้วมันสักแต่ว่าจริงไหม มันสักแต่ว่าเวลาจะมาคุยอวดกันไง แต่ความเป็นจริงมันสักแต่ว่าไหม
ถ้ามันสักแต่ว่าทำไมมันลังเลสงสัย ใจนี่ลังเลสงสัย เกิดมาจากไหน ปัจจุบันนี้อยู่เพื่ออะไร แล้วตายแล้วจะไปไหน งงไปหมดเลย ถ้ามันเป็นสักแต่ว่า เห็นไหม สรรพสิ่งเป็นสักแต่ว่า แล้วความจริงมันอยู่ไหน ไอ้ที่รู้สักแต่ว่าความจริงมันอยู่ไหน มันต้องมีความจริงอันหนึ่งที่ไปเข้าใจกระบวนการทั้งหมด แล้วปล่อยกระบวนการทั้งหมดมา
ถ้าปล่อยกระบวนการทั้งหมด นั่นน่ะวิมุตติ สิ่งที่วิมุตติ มันสักแต่ว่า มันปล่อยสักแต่ว่ามา มันต้องมีวิธีการปล่อย มันจะเข้าใจคำว่าเป็นสักแต่ว่า แล้ววางได้ตามความเป็นจริง มันถึงจะพ้น ความเป็นสักแต่ว่า มันเป็นความจริงอันนี้อันหนึ่ง แล้วสิ่งที่มันจะปล่อยพ้นมา มันปล่อย ทีนี้สักแต่ว่า สักแต่ว่า ทุกอย่างสักแต่ว่า จนไม่มีสิ่งใดเลย เห็นไหม ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น สัญชัยไง
พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ตอนอยู่กับสัญชัย เห็นไหม นั่นก็ไม่ใช่! แล้วไม่ใช่คืออะไร! ไม่ใช่คือไม่ใช่! ไม่ใช่คือไม่ใช่! แล้วอันนั้นไม่ใช่ก็คือไม่ใช่! แล้วอะไรคือใช่! นี่คือสักแต่ว่าๆ แล้วสิ่งใดเป็นสักแต่ว่า เราจะปฏิเสธสมมุติไม่ได้
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฆราวาสธรรม ภิกษุเรานี่มันก็มีพวกมรรคผลขึ้นไป แล้ววิมุตติธรรม ธรรมมันมีหยาบมีละเอียด แต่เราปฏิบัติขึ้นไป เราน่ะ เห็นไหม เหมือนกับสามล้อถูกหวย พอเราได้สถานะขึ้นมาว่าเป็นชาวพุทธ ก็นึกว่าตัวเองมีคุณธรรม มันจะไปเอาคุณธรรมมาจากไหน มันเป็นสมมุติทั้งนั้นเลย ความเป็นสมมุติ แล้วสมมุติ แล้วปฏิเสธสมมุติแล้วจะไม่ได้อะไรเลย มันต้องจริงกับสมมุติก่อน
ดูสิ เราเคารพพ่อแม่เราเพื่ออะไร อุปัชฌาย์อาจารย์ เราเคารพทำไม อุปัชฌาย์อาจารย์มีคุณมากนะ อุปัชฌาย์อาจารย์ เห็นไหม ดูสิ ทางสังคมไทย เขาจะเคารพพ่อแม่ของเขาด้วย เขาจะเคารพครูบาอาจารย์ของเขาด้วย เพราะพ่อแม่ของเขาให้กำเนิดในชีวิตของเขามา อุปัชฌาย์อาจารย์ ให้ศีลให้ธรรม ให้เปิดโลก เปิดโลกทัศน์ในการดำรงชีวิตของเราขึ้นมา สิ่งนี้ กตัญญูกตเวที เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นสมมุติ
แต่สมมุติมันก็ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลง สมมุติทำให้อุดมการณ์ในชีวิตเราพัฒนาการไป ถ้าอุดมการณ์ในชีวิตเราไม่พัฒนาการ เราก็ยึดสิ วิทยาศาสตร์ๆ ทุกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็สมมุติ วิทยาศาสตร์น่ะสมมุติ
ถ้าวิทยาศาสตร์มันคงที่ สิ่งใดมันคงที่บ้าง ค่าของวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงหมด ทุกอย่างไม่คงที่ สภาวะอะไรที่คงที่ไม่มี ไม่มีแล้วเหลืออะไร ก็เหลือวิทยาศาสตร์ไง เหลือทฤษฎีไง แล้วมึงก็ตายเปล่าไง มึงได้อะไรมา ไม่ได้อะไรมาเลย รู้ไปหมด แต่ไม่รู้จักตัวเอง เห็นไหม
แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ เหนือ สิ่งที่เราจะรู้ สักแต่ว่า สรรพสิ่งสมมุติเป็นสมมุติ ตัวจริง ตัวของจิตเราน่ะต้องสำคัญกว่า ตัวจิตของเราเห็นไหม ดูสิ พระ ก. พระ ข. พระ ง. นาย ก. นาย ข. นาย ง. อยู่ที่ไหน อยู่ที่ทะเบียนบ้าน อยู่ที่ลายเซ็น มันจะบ้า จิตไม่เคยสงบเข้ามาจะไม่เห็นตัวเองเลย แต่ถ้าจิตสงบเข้ามานะ อื้อหือ
ดูสิ เวลาเราเจ็บช้ำน้ำใจ มันเจ็บช้ำน้ำใจที่ไหน ร่างกายเจ็บช้ำน้ำใจเป็นไหม ไม่เป็นหรอก มันเจ็บช้ำน้ำใจที่หัวใจ บาดแผล ถ้าเราไปโดนอะไรเกี่ยวเราไม่เห็น เลือดออกยังไม่รู้สึกตัวเลย นี่เหมือนกัน ร่างกายมันเจ็บปวดไม่เป็นหรอก ร่างกายไม่มีความเจ็บปวดหรอก มันเป็นหัวใจต่างหากมันเจ็บปวด
พอเวลาจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม สงบเข้ามาอยู่ที่ภวาสวะ อยู่ที่ภพ อยู่ที่ตัวมันเอง นี่ไง พระ ก. พระ ข. พระ ง. ไง ตัวจริงของเราคือตัวจิตน่ะ ปฏิสนธิจิต แต่ไม่มีใครเคยเห็นมัน เหตุที่ไม่มีใครเคยเห็นมันเพราะอะไร เพราะพลังงาน พลังงานเวลามันมี เวลาให้ค่าพลังงาน มันต้องคลายตัวตลอดเวลา พลังงานส่งออกตลอด ความคิดของเรามันจะส่งออกตลอด นี่ไง ปฏิสนธิจิต
ปฏิสนธิจิตคือต้นเหตุแห่งพลังงาน สถานที่เกิดแห่งพลังงานๆ ปฏิสนธิจิต ไปเกิดในไข่ของมารดา ในไข่ ในสเปิร์มของพ่อ ไม่มีปฏิสนธิวิญญาณขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ เขาทำกิ๊ฟกัน เขาต้องใช้นิวเคลียสต่างๆ เข้าไปทำ ต้องผสม ผสมให้มันมีปฏิสนธิขึ้นมา ปฏิสนธิขึ้นมาแล้วถึงเอาเข้าไปในมดลูก แล้วให้มันไปเกิดขึ้นมา มันเป็นเองไม่ได้หรอก
ทางวิทยาศาสตร์ จะว่าสิ่งมีชีวิตๆ เดี๋ยวนี้เห็นไหม ดูไอ้ทำโคลนนิ่ง ทำไม่ได้ ทำต่อไปมันจะ.. มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ เป็นอย่างนั้นเพราะเหตุใด เป็นอย่างนั้นเพราะว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้น เราเอาเซลล์ เอาต่างๆ เอามาทำต่อไป แล้วมันเกิดขึ้นมาจากที่ไหน แล้วเวลาที่ทำกิ๊ฟล่ะ ทำกิ๊ฟมันก็เอาไข่ ใช่ไหม เอาไข่ แต่นี่เขาเอาเซลล์ เอาอะไรต่างๆ ว่ากันไปนะ มันทำได้ๆๆ แต่! แต่สุดท้ายแล้วนะ
ดูสิ พระพุทธเจ้าบอกว่าต่อไปมนุษย์จะเหลือแค่ ๑๐ ขวบ เพราะโลกกระตุ้น ทุนนิยม สังคมนิยม ล่มสลายทั้งหมด ทุนนิยม สิ่งที่เป็นทุนนิยม เพราะอะไร เพราะกระตุ้น เพื่อกระตุ้นทุนนิยม เพื่อความต่าง เพื่อศักยภาพของทุน เพื่อความขยายตัวของมัน เพื่อทุนนิยมนะ แล้วจะไม่มีสุข เป็นไปไม่ได้ สังคมนิยมน่ะ ความเสมอภาค ความเสมอภาคโดยเอาวัตถุ เอาวิทยาศาสตร์ เสมอภาค มันเป็นไปไม่ได้หรอก
ดูในประเทศใดประเทศหนึ่งสิ ดูการแต่ละพื้นที่มันก็แตกต่างอยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ทุนนิยม หรือสังคมนิยมล่มสลายหมด แต่ถ้าสัจจะ เห็นไหม ธรรมะนิยม สัจจะความจริงที่เป็นความจริงนิยมล่ะ นี่ก็เหมือนกัน เราไปกระตุ้นไง ดูสิ เราทำโคลนนิ่งต่างๆ เราไปกระตุ้นใช่ไหม เรากระตุ้น
สมัยปัจจุบันนี้ ดูเด็กเมื่อก่อนนะ เดี๋ยวนี้นะ มีเด็กหญิง แล้วก็แม่เลย ไม่ได้เป็นนางสาว เพราะอะไรล่ะ เพราะความกระตุ้นของกิเลสไง เดี๋ยวนี้ท้องกันตั้งแต่เด็กๆ อายุของคนจะสั้นเข้าๆ เพราะสังคมนี่ไง ทางวิทยาศาสตร์ ทางทฤษฎีต้องเจริญ ต้องทำความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ โลกจึงเจริญ
เจริญขนาดไหนนะ สิ่งนี้มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ดียิ่งกว่านี้หลายร้อยหลายพันเท่า เพราะตั้งแต่สองพันปีมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าการเกิด เกิดด้วยกำเนิด ๔ เห็นไหม การกำเนิดในครรภ์ ในไข่ ในน้ำคร่ำ โอปปาติกะ การกำเนิด ๔ อาหาร ๔
การกำเนิด ตั้งแต่ทารกตัวอ่อน ตั้งแต่การผสม เห็นไหม การผสมเป็นน้ำกาละต่างๆ ทางการแพทย์ยังไม่มีเลย พระพุทธเจ้ารู้ได้หมด รู้แล้วเอามาพูดได้ประโยชน์อะไรไหม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องทางการดำรงชีวิต มันเป็นเรื่องของสิ่งที่ว่ามันสุดวิสัยของจิต ดวงวิญญาณที่มันอ่อนแอเกินไป ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ที่เกิดมาต่างๆ มันเป็นสภาวะกรรม
สภาวะที่เป็นวิบาก ที่มันต้องหมุนไปตามวัฏฏะ เห็นไหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ แต่ขณะ สิ่งที่ชำระกิเลส เห็นไหม ที่เราประพฤติปฏิบัติกัน ที่ว่านี่ ต้องยอมรับความเป็นจริงตามสมมุติ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้หมด เรารู้ตามทฤษฎีหมด แต่ไม่รู้จักตัวเองเลย แต่ถ้าเราศรัทธา เรามีความเชื่อ
เรามีศรัทธาความเชื่อ จากสมมุติ เราเป็นพระโดยสมมุติ
เราเกิดมานี่ก็สมมุติ
คำว่าสมมุติมันมีจริง จริงตามสมมุติ มีจริงแต่ต้องตาย สมมุติคืออนิจจัง คือความแปรปรวนไม่คงที่
เพราะถ้าไม่มีวิมุตติ ไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเทียบเคียง มันจะไม่เห็นว่าสมมุติกับวิมุตติมันต่างกันอย่างไร คำว่าวิมุตติ วิมุตติคือคงที่ คงที่ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คงที่ที่ไม่มีการสืบต่อ มันมหัศจรรย์มาก วิมุตตินี่มหัศจรรย์มาก คงที่ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แล้วไม่มีเปลี่ยนแปลง อยู่ด้วยกัน
ถ้าพูดถึงทางวิทยาศาสตร์ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ต้องเป็นอัตตาสิ ต้องเป็นความจริง อัตตาผิดทันทีเลย อัตตา สิ่งที่มีอยู่ สิ่งใดที่มีอยู่ สิ่งนั้นคงที่ไม่ได้
สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา
สิ่งที่คงที่ ทางวิทยาศาสตร์ ทางโลก ทางสมมุติต่างๆ ไม่มี! ไม่มี! แต่วิมุตติมันคงที่อย่างไร? คงที่ของมัน ถ้าบอกคงที่ คงที่เป็นอัตตา เห็นไหม นิพพานเป็นอัตตา นิพพานเป็นอนัตตา ผิดหมด นิพพานคือนิพพาน แล้วนิพพานอธิบายอย่างไร?
เขาบอกลักษณะของนิพพาน พระเขาอธิบายลักษณะของนิพพาน ถ้าลักษณะของนิพพาน มันเป็นสมมุติแล้ว ลักษณะของนิพพานสมมุติหมด ใครพูดถึงนิพพาน คนนั้นพูดถึงเรื่องสมมุติทั้งนั้น
เพราะนิพพานไม่มีในสมมุติ สมมุติไม่ได้
แต่ใครที่อธิบายเรื่องนิพพานนี่ สมมุติหมด
แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราพูดถึง วิมุตตินี่ มันให้เทียบเคียงกันระหว่างสมมุติกับวิมุตติ สมมุติคือเป็นอนิจจัง แล้วมีไหม อารมณ์ความรู้สึกเรามีไหม ความคิดเรามีไหม เย็นร้อนอ่อนแข็ง ความหิวความกระหายมีไหม จริงทั้งนั้น จริงทั้งนั้นนะ แต่มันจริงตามสมมุติไง
แต่ถ้าเราไม่เอาความจริงนี้เป็นตัวตั้ง ไม่เอาความจริงนี้ เราสตาร์ทจุดเริ่มต้นจากสิ่งที่มันมีอยู่ พอมันมีสมมุติใช่ไหม มันเกิดขึ้นมาด้วยความทุกข์ต่างๆ เราศึกษาศาสนาแล้วเราต้องตั้งสติ สติก็เป็นสมมุติ ปัญญาก็เป็นสมมุติ สมมุติทั้งนั้น แต่เราต้องสร้างขึ้น นี่ไง สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรม เห็นไหม ว่าธรรมเป็นสภาวะ วิมุตติ โสดาบัน สกิทา อนาคาเป็นสภาวะ ไม่ใช่
ถ้าเป็นสภาวธรรมอยู่ยังเป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา คือแปรสภาพอยู่ ยังไม่คงที่ ถ้าเป็นธรรมแท้ๆ แล้ว ไม่ใช่สัพเพ ธัมมา อนัตตา มันพ้นจากสัพเพ ธัมมา อนัตตา มันเป็นสัจธรรมอันหนึ่ง สัจธรรมหนึ่ง เห็นไหม กุปธรรม อกุปธรรม กุปธรรมคือสภาวธรรม เห็นไหม ธรรมะเป็นสภาวธรรม สภาวะของนิพพาน สภาวะ ขี้โม้ทั้งนั้น
ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เพราะคนรู้จริงเห็นจริง ความจริงอันนั้นมันเป็นสิ่งที่ว่าสื่อออกมาไม่ได้เลย แต่สิ่งนี้หลบซ่อนหรือจะสร้างภาพ หรือจะฉ้อฉล ไม่ได้ ไม่ได้เพราะเหตุใด ไม่ได้เพราะในศาสนาเรานี่ ในศาสนาพวกเรา เห็นไหม ในสมณะ ๔ โสดาบัน สกิทา อนาคา พระอรหันต์ มันมีในศาสนาพุทธของเรา
ในศาสนาพุทธของเรามีสมณะนะ มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔
การได้เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง
การได้เห็นสมณะ ดูรูปกายของเราสิ ถ้าเห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่งเราก็ ดูสิ เราสมมุติสงฆ์ เราก็เห็นมาหมด แต่การได้เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง คือเห็นสมณะ จากพระ จากความจริงจากภายใน การเคลื่อนไหวจากจิตที่มันเป็นคุณธรรม สติสัมปชัญญะ การแสดงออกนั้น มันแสดงออกมาด้วยคุณธรรม การเห็นเป็นมงคลอย่างยิ่ง
ทีนี้การเห็นสมณะ ๔ หนึ่ง สอง สาม สี่ เป็นมงคลอย่างยิ่ง ทีนี้ สมณะหนึ่ง สอง สาม สี่ มีอยู่ ทีนี้สมณะหนึ่ง สอง สาม สี่ มีอยู่ เขาต้องรู้ เขาต้องเห็น เขาต้องพูดได้ ฉะนั้น เราจะสร้างภาพ เราจะฉ้อฉลอย่างไร เราไม่สามารถหลบหลีกสัจจะความจริงไปได้
ฉะนั้น ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เห็นไหม การสนทนาธรรม การแสดงธรรม เป็นมงคลอย่างยิ่ง มงคลเพราะอะไร เพราะเป็นสัจธรรมความจริง เห็นไหม มันถึงฉ้อฉลไม่ได้ สิ่งที่ฉ้อฉล เขาฉ้อฉลกันอยู่นั้น ลักษณะ อธิบายลักษณะของนิพพาน นิพพานเป็นอย่างนั้นๆ สมมุติเพราะอ้าปากเป็นสมมุติหมด
เห็นอยู่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม พระไตรปิฎกนี่ สมมุติบัญญัติไง สมมุติในโลกนี่เราถือว่าเป็นสมมุติ แต่บัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเรียกบัญญัติ บัญญัติที่เป็นสัจธรรม เป็นธรรมที่เป็นบาลีที่สื่อกัน ในพระพุทธเจ้าใช้ภาษานี้
พระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ พุทธประเพณีทำอย่างไร จะออกดำรงชีวิตอย่างไร เห็นไหม เทวดามาเลย บาตร ๔ ใบเสกเหลือใบเดียว เห็นไหม เวลาพระเจ้าสุทโธทนะนิมนต์ไปเทศนาว่าการไปสอนที่บ้านเห็นไหม ก็ถือว่าพ่อกับลูก ก็ถือวิสาสะ พระพุทธเจ้าออกบิณฑบาตตอนเช้า
พอบิณฑบาตตอนเช้า พระเจ้าสุทโธทนะเป็นกษัตริย์ แล้วมันยังไม่มีประเพณี เพราะพระพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ ยังไม่มีสิ่งใด อายมากไง เพราะมุมมองของโลก เห็นไหม มุมมองของโลก พระเจ้าสุทโธทนะเป็นกษัตริย์ แล้วลูกกลับมา ลูกไปขอทานเขากิน อายมากนะไปยืนขวางเลย
ทำไมลูกทำร้ายพ่อขนาดนี้ ทำไมลูกประจานพ่อขนาดนี้
ประจานตรงไหน
อ้าว ประจานก็นี่ไง มาขอเขานี่
ประเพณีของพระพุทธเจ้า ก็พ่อไม่นิมนต์ พ่อไม่นิมนต์ให้ฉันเช้า ถ้าพ่อนิมนต์ให้ฉันก็จะอยู่ฉัน ก็ไม่นิมนต์ ไม่มีใครนิมนต์
แล้วเพราะอะไร เพราะถือวิสาสะ ไม่เข้าใจธรรมประเพณี พอเข้าใจประเพณีก็นิมนต์ นิมนต์ฉันก็ฉัน นิมนต์ถึงไปฉันที่บ้าน ถ้าไม่นิมนต์ต้องบิณฑบาต ถ้าบิณฑบาตแล้วไม่นิมนต์ เขาไม่นิมนต์เขาก็ไม่ไปจังหัน ไม่ไปจังหันเรา เรานั่งรอเขาก็กินลมน่ะ มันก็ต้องออกบิณฑบาต เห็นไหม ประเพณีของพระพุทธเจ้า พุทธประเพณี
พระพุทธเจ้าน่ะจะเล็งญาณ พระพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้อย่างไร แล้วนี่วางเป็นตกผลึก เป็นศีลธรรม เป็นจริยธรรมนะ เราเกิดมาท่ามกลางพระพุทธศาสนาๆ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ประจำชาติไม่ใช่อยู่ในรัฐธรรมนูญ ประจำชาติคือชนชาติ ชนชาติสังคมนั้นศรัทธาในศาสนา แล้วเขาทำเป็นประเพณีวัฒนธรรม
ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ เช้าขึ้นมาจะตักบาตร ตักบาตรเพราะได้ทำบุญกุศล ได้เห็นสมณะตั้งแต่ตอนเช้า เห็นไหม สิ่งที่ได้มา ได้มาจากกำลังของเรา เราตักบาตร พอเราตักบาตรนะ เราอธิษฐาน ขอให้ได้พบความสุข ขอให้มีความสุข ขอให้เจริญรุ่งเรืองในชีวิต เห็นไหม สดชื่นตอนเช้า คนตื่นขึ้นมามีความสดชื่น มีความต่างๆ มีการเสียสละ จิตใจเปิดกว้างแต่เช้าแล้ว จิตใจเปิดกว้างแต่เช้า
ภิกษุออกบิณฑบาตเป็นวัตร สิ่งที่ออกบิณฑบาตเป็นวัตร มารับภิกขาจาร มารับอาหารจากตรงนั้นไป ไปฉัน ฉันเสร็จแล้ว เพื่อดำรงชีวิตในการเป็นภิกษุ เห็นไหม ดำรงชีวิตและประพฤติปฏิบัติให้มีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ สิ่งที่ได้มา ได้มาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยจากร่างกาย เห็นไหม แต่สิ่งที่เป็นอาศัยได้จริง มันอาศัยได้จริง เห็นไหม สมบัติของพระๆ ก็คือศีลธรรม
ถ้าทำความสงบของใจขึ้นมา เห็นไหม มันประโยชน์เกื้อกูลกัน เกื้อกูล โยมเขาก็ได้ทำหน้าที่ของเขา เขาได้เป็นเจ้าของศาสนา บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เขาได้ทำหน้าที่ของเขา เราก็ได้ทำหน้าที่ของเรา ทำหน้าที่ ทำหน้าที่โดยสมมุตินะ
แต่พอถึงที่สุด จิตมันเป็นคุณธรรมขึ้นมา อันนั้นเป็นความจริง สิ่งที่พระพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ ก็เพื่อให้ถึงเป้าหมายอันนั้นไง เป้าหมายที่ใจเป็นคุณธรรม ถ้าเป้าหมายเป็นคุณธรรม เหมือนกับเรา เห็นไหม เหมือนกับเรา เราคิดค้นทำวิจัย ได้ยาที่รักษาโรคนี้ ทางวิทยาศาสตร์เขายังรักษาไม่ได้ แล้วถ้าเราทำวิจัยโรคนั้น ยาชนิดนั้น จนรักษาโรคนั้นได้ เราจะมีคุณประโยชน์สังคมมากน้อยขนาดไหน
ใจของเรานี่มืดบอดกันทุกๆ ดวง ใจของเราถือประเพณีวัฒนธรรมเพื่อดำรงชีวิต แล้วใจของเรา เราทำวิจัย เราทำสมาธิภาวนา จนถึงที่สุด จิตใจเรานี่บรรลุธรรม เห็นธรรม เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่คือธรรมโอสถ แล้วธรรมโอสถ เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมาจากราชวัง เห็นไหม ออกจากราชวังมา แล้วไปกรุงราชคฤห์ ผ่านไป
พระเจ้าพิมพิสารนะ ก็รู้จัก เห็นไหม เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าโดนแย่งชิงสมบัติมา ให้กองทัพครึ่งหนึ่งเลยนะ ให้กลับไปรบ เพราะแคว้นใหญ่กว่า แคว้นใหญ่กว่ามาก มีกองกำลังมาก ให้ครึ่งหนึ่ง ให้กลับไปเอาราชบัลลังก์คืน ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก ไม่ได้โดนอะไรมา มาด้วยความเต็มใจ มาด้วยทุกคนออกแสวงหา ออกแสวงหาโพธิญาณ
ถ้าออกแสวงหาได้จริง ขอพรไว้ข้อหนึ่ง ถ้าตรัสรู้ธรรมแล้วให้กลับมาสอนด้วย ให้กลับมาบอกด้วย ให้กลับมาบอก พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เสวยวิมุตติสุข เป็นสุขมาก วิมุตติสุข เสวยเสร็จ จะสั่งสอน เพราะสร้างบุญญาธิการมา สร้างบุญญาธิการมาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ สร้างบุญญาธิการมาเป็นผู้นำไง
อย่างครูบาอาจารย์เรานี่สร้างบุญญาธิการ เราเสียสละเห็นไหม สังคมไทย เสียสละ เจือจานกันนี่ สร้างบารมี เพราะคนเขาซึ้งในคุณงามความดีกัน ซึ้งในคุณงามความดี ใช้ประโยชน์จากสมบัติของเรา นั่นแหละ จะสร้างบุญบารมีไปตลอด จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมา จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ จะเอาใครก่อน เล็งญาณเลยนะ ถ้าสอน คนที่สอน เห็นไหม ดูสิ สัจจะความจริง ธรรมที่เกิดขึ้น จะไปปาวๆๆๆ สอนใคร เป็นไปไม่ได้หรอก
ตรัสรู้ขึ้นมาแล้วนะ เอ๊ะ ธรรมอย่างนี้ มันละเอียดอ่อนอย่างนี้ จะไปสอนใครได้หนอๆ จนขนาดเรา เห็นไหม ดูสิ ดูทางการศึกษา เห็นไหม เขาเป็นครูบาอาจารย์ เขาเรียนของเขา ปี ๓ ปี ๔ เขาต้องออกฝึกสอน เห็นไหม เขาเตรียมความพร้อมมาเพื่อจะสอนเลย ศึกษาศาสตร์ เขาต้องเตรียมพร้อมหมด เขาต้องศึกษาหมด
นี่ก็เหมือนกัน เตรียมพร้อมหมดเลยว่าจะเป็นอาจารย์ บุญญาธิการสร้างมาเป็นพระพุทธเจ้า จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ พอบรรลุธรรมขึ้นมา เห็นไหม ความคิดของโลก ความคิดทางวิทยาศาสตร์ ความคิดของโลก คิดว่าธรรมอย่างนั้นๆ จะเป็นประโยชน์ต่อๆ ไป นี่ก็สร้างมาสร้างมาทางวิทยาศาสตร์ สร้างมาด้วยสมมุติ ด้วยการเวียนตายเวียนเกิด
เพราะมันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องของกามภพ เรื่องของวัฏฏะ มันวนไปอย่างนั้น มันเป็นสมมุติ สร้างฐานขึ้นมาเป็นวิมุตติ พอวิมุตติขึ้นมา มันคนละเรื่องเลย จะไปสอนใครได้ๆ แล้วจะสอนใครได้ขนาดไหน แต่ปรารถนาจะมารื้อสัตว์ขนสัตว์แล้วก็เล็งญาณเลย
ถ้าคนจะมีพื้นฐาน เห็นไหม คนต้องมีพื้นฐาน คำว่าพื้นฐานคือจิตต้องมีกำลัง จิตต้องมีความมุ่งมั่น จิตต้องมีพื้นฐานที่พอจะตรัสรู้ได้ เล็งญาณ เล็งไปเลยจะสอนอาฬารดาบส อุทกดาบส เพราะไปศึกษากับเขามา เขาทำฌานสมาบัติมา เขาทำฌานสมาบัติมา พื้นฐานมันมี จิตมันมี แต่ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีปัญญาที่จะเกิดขึ้นมาได้เอง เล็งญาณไปเสียดายมาก ตายไปเมื่อวานนี้ ตายไปแล้ว ตายไปเกิดเป็นพรหมแล้ว
เวลานางสิริมหามายาที่ตายไป เห็นไหม ทำไมไปสอนได้ล่ะ นั่นมันเป็นสายบุญสายกรรม แต่นี่ไปสอนไม่ได้แล้ว เพราะมันได้สถานะใหม่ เป็นคนใหม่ ความเข้าใจใหม่
ถ้าพระพุทธเจ้าจะไปสอนนะ อาฬารดาบสไปเกิดเป็นพรหม พระพุทธเจ้าไปพรหม ไปถามพระพุทธเจ้าเป็นใคร เขาจำไม่ได้ เพราะสถานะเขาคนละชาติ เขาจำกันไม่ได้แล้ว คนละชาติ เพราะอาฬารดาบสเป็นอาจารย์สอนเจ้าชายสิทธัตถะ แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่เชื่อ ไม่เชื่อถึงฌานสมาบัติ มาค้นคว้าเอง อริยสัจ จนตรัสรู้ขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า
ถ้าเป็นชาติมนุษย์ เรายังสัมผัสกันได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่จำกันได้ แต่พอตายปั๊บ เกิดสถานะใหม่เป็นคนใหม่ แต่จิตดวงเก่า แล้วถ้าพระพุทธเจ้าไป นี่ใครมาหา เห็นไหม แต่ถ้าพูดถึง(ถ้าไม่ตาย) ย้อนไปพระพุทธเจ้ามีโอกาสสอนได้ สุดท้ายก็มาสอน เอาปัญจวัคคีย์ พอได้ปัญจวัคคีย์แล้ว สร้างสถานะแล้ว ถึงย้อนกลับมาสอนพระเจ้าพิมพิสาร
พระเจ้าพิมพิสารเคยขอร้องไว้ ถ้าได้ธรรมแล้วให้กลับมาสอนกันด้วย นี่พอจะกลับมาสอน เห็นไหม จะไปเอาพระเจ้าพิมพิสารต้องมีเทคนิคอีก เพราะพระพุทธเจ้าไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ตรัสรู้แล้วก็ยังสั่งสอนอยู่ ทีนี้พระเจ้าพิมพิสารก็มีอาจารย์ของพระเจ้าพิมพิสารเหมือนกัน เพราะว่าเจ้าลัทธิต่างๆ มหาศาล
ทีนี้ชฎิล ๓ พี่น้องเป็นอาจารย์ของพระเจ้าพิมพิสาร แล้วชฎิล ๓ พี่น้องเขาบูชาไฟ พระพุทธเจ้าก็ต้องไปเอาอาจารย์ก่อน นี่ไง ฉลาดมาก ไปเอาอาจารย์ของกษัตริย์ก่อน ไปเอาอาจารย์ของกษัตริย์ ชฎิล ๓ พี่น้อง แหม ขนาดกษัตริย์เป็นลูกศิษย์นะ คนมาเคารพบูชามหาศาลเลย บูชาไฟอยู่ เข้าไปดงบูชาไฟ จะไปขอพักด้วย
ทิฐินะ ขนาดเป็นศาสดา ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ แต่มีทิฐิ มีความตระหนี่ มีความไม่ต้องการให้ใครเข้ามา ไม่ให้พัก พระพุทธเจ้าตอบเลย เราเป็นนักพรตด้วยกัน ทำไมนักพรตด้วยกันทำไมไม่ต้อนรับนักพรต เราเป็นนักบวชด้วยกัน นี่ไง ด้วยเหตุผล ทีนี้พอด้วยเหตุผล สุภาพบุรุษสมัยนั้นเขาพูดด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเหตุผลมันจนแต้ม อ้าว ให้พัก แต่ให้พักในโรงไฟ
โรงไฟเพราะเขาบูชาไฟ เห็นไหม บูชาไฟนั่นน่ะ วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว พูดแล้ววิทยาศาสตร์หัวเราะเลย ในโรงบูชาไฟมีพญานาค เป็นไปได้อย่างไร โรงบูชาไฟก็บูชาไฟ ดูสิ โรงเจเขาจุดไฟ เขาจุดเทียนกัน จุดไฟ เห็นไหม เขาเติมน้ำมันกัน จุดไฟทั้งวัน มีพญานาคไหม
มีพญานาคอยู่ พอมีพญานาคอยู่ เพราะว่าสมณะขอพัก ถ้าพักขึ้นมานี่ ให้ไปพักกับพญานาค ให้พญานาคพ่นไฟ ให้อยู่ไม่ได้ ให้ทำลาย ให้พ่นพิษใส่ ไปถึง พระพุทธเจ้า ด้วยฤทธิ์ไง เอาพญานาคอยู่ในบาตร เช้าชฎิล ๓ พี่น้องก็มา พี่ใหญ่มาเห็น อ้าว โอ้ สมณะนี่เก่งนะ พญานาคไม่ทำลาย สมณะนี่เก่งนะ แต่ไม่เท่าเรา เราเป็นพระอรหันต์ ทิฐิ สมณะทำอะไรได้ ออกทำฤทธิ์ทำเดชขนาดไหน สมณะนี่เก่งนะ แต่ไม่เท่าเรา เราเป็นพระอรหันต์
จนพระพุทธเจ้ารู้วาระจิตไง เพราะว่าคน ถ้าคนดี คนดีพื้นฐานคนดี เขาจะไม่โกหก ความคิดขนาดไหน คิดแล้วคิดว่าตัวเองรู้อยู่คนเดียว พระพุทธเจ้าบอก
เธอไม่ใช่พระอรหันต์หรอก เธออย่าโกหกตัวเอง เธอกิเลสเต็มหัวใจ
อายนะ นี่เห็นไหม คนที่ไม่เป็นความจริง จะฉ้อฉล จะแอบอ้างขนาดไหน เรารู้ๆ อยู่กลางหัวใจ
พระที่กล่าวถึงลักษณะนิพพานเป็นอย่างนั้นๆ น่ะ รู้ๆ อยู่เต็มหัวใจ ลักษณะนิพพาน เอ็งขยายความว่าอย่างไร ขณะที่เอ็งขยายความมา เอ็งว่าเอ็งเข้าใจได้จริงหรือเปล่า นี่มัน สังคมเรานี่เห็นไหม ดูสิ ยอดพีรามิด ยอดเจดีย์เห็นไหม ฐานจะกว้าง ปลายจะแคบ คนที่รู้จริงมันมีน้อยไง พอรู้จริงมีน้อย ก็พูดฉ้อฉลไปวันๆ หนึ่ง แต่ถ้าคนรู้จริงถามขึ้นมา ไอ้ลักษณะนิพพานน่ะ พูดไม่ถูกหรอก
เพราะคำพูดนะ ว่างคู่กับไม่ว่าง ขาวคู่กับดำ เอ็งพูดลักษณะอะไรก็แล้วแต่ มันจะมีฝ่ายตรงข้าม โลกนี้เป็นของคู่ตลอด แล้วนิพพานเป็นคู่มีไหม แล้วก็บอกว่า ก็นิพพานเป็นหนึ่งเดียวไง แล้วหนึ่งมัน หนึ่งบนอะไรล่ะ มันฉ้อฉลของมันไปเรื่อย นี่ก็เหมือนกัน พอพระพุทธเจ้าบอก พูดถึงชฎิลผู้พี่ สะเทือนใจมากนะ ยอมรับความจริง ยอมรับความจริงปั๊บนี่ขอบวชเลย
พอขอบวชเห็นไหม เขาบูชาไฟอยู่ บูชาไฟนี่ ความสัมพันธ์ ความเคยชินของเขาก็รู้อยู่แล้ว เพราะบูชาไฟ เหมือนกับการเพ่งกสิณ มันจะมีฤทธิ์ มันมีฤทธิ์ มันก็คือฤทธิ์เฉยๆ มีฤทธิ์คือมีกำลังเฉยๆ จิตมีกำลัง เหาะเหินเดินฟ้าได้ รู้วาระจิต รู้ไปหมด ไอ้รู้นี่ส่งออกหมด เพราะพลังงานตัวจริงคือตัวจิต พลังงานตัวจริง เห็นไหม แล้วว่าพลังงานตัวปลอมตัวไหนล่ะ ก็ฌานนี่ พลังงานตัวปลอมไง พลังงานตัวปลอมคือมันเป็นวงรอบของจิต มันตัวจิต มันตัวพื้นฐาน ไอ้นี่เป็นความคิด เป็นความรู้สึก เป็นอารมณ์ เห็นไหม แล้วพอเรารักษาอารมณ์ได้มันก็นิ่งอยู่
ทีนี้พอนิ่งอยู่ พระพุทธเจ้าสอนเลย เทศน์ในอาทิตย์ เห็นไหม ตาเป็นของร้อน โทสัคคินา โมหัคคินา รูปเป็นของร้อน ตาเป็นของร้อน หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะโทสะ ร้อนเพราะโมหะ นี่พิจารณาตาม จิตเขาเพ่งกสิณอยู่ จิตเขามีกำลังของเขาอยู่ แต่มันไม่มีปัญญา ไม่มีสิ่งที่เป็นปัญญา นี่ไง มรรคญาณ
มรรคญาณเกิดจากอะไร มรรคญาณเกิดจากจิตที่มีพื้นฐาน จิตที่มีความสงบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าพูดถึงคนรักษา คนเข้าฌานสมาบัติ คนที่กำหนดจิตใจได้ ถ้าจิตเขาไม่สงบออกมา เขาจะไม่รู้หรอก เขาจะไม่รู้ว่า สิ่งที่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งนี้สืบต่ออย่างไร แต่เวลาจิตเราสงบ เราเคยเห็นนี่ มันปล่อยอย่างไร
ดูสิ ปุถุชน กัลยาณปุถุชน ปุถุชนมันจะติดความคิด ติดความเห็น ติดความคิดเราไปหมดเลย ความคิดกับเรา ทุกอย่างจะเป็นอันเดียวกัน เห็นไหม แต่ถ้ากัลยาณปุถุชน เขาจะเห็นว่าความคิด ตาหูจมูกลิ้นกาย เห็นไหม มันเป็นส่วนหนึ่ง สิ่งที่กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่มีจิตรับรู้ หรือไม่มีข้อมูลเข้าไปถึงตัวจิต มันจะให้ข้อมูลสิ่งนั้นไม่ได้ มันรับรู้สิ่งนั้นไม่ได้
พอข้อมูลสิ่งต่างๆ เห็นไหม พระพุทธเจ้าบอก ตาเป็นของร้อน รูปเป็นของร้อน พิจารณาตามไป พิจารณาตามไป เห็นไหม พอพิจารณาตามไป ความคิดเป็นของร้อน ความคิดมันเป็นของร้อน กิเลสตัณหาเป็นของร้อน ทิ้งหมดนะ ทิ้งมาเรื่อยๆ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์
น้องชายได้ยินได้เห็น เห็นเครื่องหมายตามมา สุดท้ายแล้ว เห็นไหม จะไปทรมานพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารก็จะมาหาอาจารย์ของตัว ชฎิล ๓ พี่น้อง มาเจอ นั่งอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า เด็กๆ อายุน้อยกว่า อายุอ่อนกว่า แต่เป็นพระพุทธเจ้า แต่ชฎิล ๓ พี่น้องมีอายุมากกว่า แต่เพราะเป็นลูกศิษย์ นั่งอยู่ข้างล่าง
ทีนี้พอพระเจ้าพิมพิสารมานี่ เอ๊ะ แล้วใครเป็นอาจารย์ใคร เพราะแต่เดิมพระเจ้าพิมพิสารเคยสัญญากับพระพุทธเจ้าไว้ แต่นานแล้ว แล้วตอนนั้นพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า นั่นก็เคยสัญญากันไว้ รู้จักกันไว้ แต่ผิวเผิน
แต่ความเคารพบูชา ชฎิล ๓ พี่น้อง มันต้องแนบแน่นกว่า เพราะอาจารย์ของตัวอุปัฏฐากกันอยู่ ส่งเสียกันอยู่ ดูแลกันอยู่ แล้วเข้าไปลังเลเลยล่ะ อ้าว แล้วใครเป็นอาจารย์ใคร พระพุทธเจ้ารู้วาระจิต บอกชฎิล ๓ พี่น้อง เธอต้องแสดงตัว เหาะเลยนะ เหาะขึ้นไป ลงมากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา เหาะขึ้นไปลงมา พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา จนพระเจ้าพิมพิสารลงใจ ลงใจเลยเทศน์ เห็นไหม
ถ้าไม่ลงใจ ไม่ลงใจ ใจมันยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ยังโลเล ยังไม่เข้าใจ ใจยังเชื่อมั่นในอาจารย์ของตัว ถ้าความเชื่อมั่น จิตใจมันไม่สมดุล ไม่ควรแก่การงาน พอลงใจปั๊บ พระพุทธเจ้าเทศน์ปั๊บ พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน นี่เห็นไหม สิ่งที่บอกว่า สัญญากันไว้ว่าถ้าบรรลุธรรม ถ้าได้ตรัสรู้ธรรม ให้กลับมาสอนกันด้วย
ถ้าใจมันเป็นธรรมไง เราเป็นนักบวช เห็นไหม เราเป็นนักบวช เราเข้ามาสัมผัสในศาสนา ศาสนาคือ ศาสนาธรรมคำสั่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มีรัตนะ ๒ มีพระพุทธกับพระธรรม เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลกนะ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ เห็นไหม
เพราะพระสงฆ์ สาวก สาวกะ ได้ยินได้ฟัง ได้ยินพระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักร พอเทศน์ธรรมจักร เห็นไหม สังฆคุณ ควรและไม่ควร มรรคญาณเป็นอย่างไร ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ เป็นฌาน เป็นญาณ เป็นปัญญา เป็นความรู้ มันเกิดขึ้น วิวัฒนาการอย่างไร ทำลายกิเลส เห็นไหม สงฆ์องค์แรก
สงฆ์องค์แรกก็เข้าใจในสัจธรรมตามธรรมสัจธรรมอันนั้น พระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้ามาก็เป็นสัจธรรมอันนั้น แล้วในปัจจุบันนี้ เห็นไหม ศาสนธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วคำว่าสมมุติๆ จริงสมมุติ พอสมมุติ คำว่าสมมุติคือชื่อไง ศีล สมาธิ ปัญญา ชื่อทั้งนั้น เป็นชื่อ เป็นทฤษฎี เห็นไหม ดูสิ เราจะเอาเหล็ก เราจะเอาเหล็กมาจากไหน เราได้เหล็กมา ได้เหล็ก เรามีเหล็กมา เห็นไหม แล้วเหล็กมาจากไหน เหล็กมาจากแร่ธาตุ แล้วแร่ธาตุมาจากไหน มาจากการหลอม หลอมให้เป็นเหล็กขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน สติ สติอยู่ที่ไหน สมาธิกับปัญญาอยู่ที่ไหน เราก็บอก ปัญญานี่ทุกคนฉลาดมาก รู้มาก โง่มาก โง่เพราะกิเลสตัณหาทะยานอยากมันใช้ปัญญาของเราเหยียบย่ำเราอยู่ เราไปยึดว่าความคิดเป็นเรา ปัญญาเป็นเรา ใครว่าฉลาดๆ น่ะ คนนั้นโง่มากๆ โง่เพราะอะไร โง่เพราะว่ายังไม่เห็นจิตของตัวเอง โง่เพราะยังไม่รู้จักตัวเอง
ดูสิ ทุกคนคิดเลย คืนนี้นั่งสมาธิตลอดรุ่งเลย คืนนี้จะเป็นพระอรหันต์ให้ได้เลย โอ้ มันคิดแล้วนะ แล้วมันทำหรือยัง มันโง่เพราะมันเอาความคิด ความคิดมันคิดออกไป แล้วคิดออกมา แล้วมึง คืนนี้จะนั่งสมาธิให้เป็นพระอรหันต์เลย แล้วเอาอะไรเป็นพระอรหันต์ นั่งสมาธิใครนั่ง แล้วนั่งขึ้นมาเป็นสมาธิไหม นี่ไง สิ่งที่ว่าเป็นปัญญาๆ ที่ว่าเราฉลาดๆ โง่ทั้งนั้นเลย
แต่ถ้าพวกฉลาดนะ เวลาปฏิบัตินะ โลกนี้ไม่มี สรรพสิ่งไม่มีเลย พ่อแม่ปู่ย่าตายายเรื่องของท่าน ถ้าพูดถึงพ่อแม่เป็นเรานะ โอ้โฮ คิดเลยนะ โน่น ตอนนี้ทุ่มหนึ่งแล้วล่ะ ป่านนี้เขาดูทีวีกันแล้ว โอ๊ย แม่ เห็นไหม มันเริ่มเกี่ยวพันแล้ว เรื่องของเขาเป็นเรื่องของเขา ปัจจุบันนี้ กูคนเดียว กูจะเอากูให้ได้ เห็นไหม สติจะเกิด สติปัญญาจะเกิดแล้ว
แต่ถ้าจะใช้ปัญญาเก่งมาก เก่งน่ะโง่ เพราะความคิดไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ความคิด ความคิดเกิดจากจิตๆ เห็นไหม ภวาสวะ ตัวภพ ตัวปฏิสนธิจิต เวลาเกิดขึ้นมา มันปฏิสนธิวิญญาณ มาจุติในไข่ พอมันเป็นพลังงานเฉยๆ แล้วมัน พอมันสืบต่อขึ้นมา เห็นไหม เป็นกิ่งก้าน เป็นโอปปาติกะ เกิดเป็นตัวอ่อน เป็นต่างๆ พัฒนาขึ้นมาจนเป็นสิ่งที่มีชีวิต จนเป็นสัญชาตญาณ เป็นความรู้สึกออกมา พ่อแม่ก็สั่งสอน เป็นความรู้เห็นไหม เป็นความรู้ เป็นต่างๆ
จะบอกว่าจิต เวลามันเกิด มันเป็นบุญกรรมของจิตดวงนั้น บุญกรรมนะ เกิดกับพ่อแม่ที่ดี เกิดกับพ่อแม่ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เกิดกับพ่อแม่ที่พาเข้าวัดเข้าวา เกิดจากชาวพุทธเหมือนกัน แต่พ่อแม่บอกว่าอย่าไปวัดเลย พระภิกษุ พระนี่มันขี้เกียจ มันกินแล้วก็นอน มันไม่ทำอะไรเลย เราทำมาหากินกันดีกว่า เห็นไหม เกิดในชาวพุทธเหมือนกัน พ่อแม่ไม่พาเข้าวัดเข้าวา
เกิดในสัมมาทิฏฐิ เกิดในมิจฉาทิฏฐิ เกิดเป็นเจ้าลัทธิอื่น ลัทธิอื่นเขาบอก พระนี่ไม่มีประโยชน์หรอก พูดถึงนะ จนเขาพูดกันนะ ทางลัทธิอื่นเขาบอกเลยว่าภิกษุในพุทธศาสนานี่แบ่งชนชั้น มีอาวุโส มีภันเต มีการนับถือ เห็นไหม เขาคิดของเขา เขาบอกเขาเสมอภาค ความว่าเสมอภาคเขาจะบอกว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม
แต่ถ้าเป็นพุทธศาสนา ทำไมพระพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาพระพุทธเจ้าที่ว่าเป็นพราหมณ์เป็นอะไรต่างๆ สุภัททะ ทิฐิมานะมากเลย นึกว่ามีความรู้มาก จะไม่ยอมไปถามใครเลย สุดท้ายพระพุทธเจ้าจะนิพพาน ศาสนาไหนก็ว่าเป็นประเสริฐอย่างนั้นๆ
สุภัททะอย่าถามให้มากไปเลยศาสนาไหนไม่มีมรรคศาสนานั้นไม่มีผล
ศาสนาไหนไม่มีมรรคศาสนานั้นไม่มีผล แล้วศาสนาในมรรค มรรคผลมันเกิดจากใคร แล้วพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าพิจารณา เวลาพราหมณ์ถาม ถามตอบปัญหาในพระไตรปิฎก เห็นไหม ไหนบอกว่าพระไตรปิฎกสมมุติ แล้วไปพูดอ้างพระไตรปิฎกทำไม อ้างสิ เพราะนี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
เวลาพราหมณ์มาถาม ว่าเจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์ ทำไมไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ที่มีอายุพรรษามากกว่า พระพุทธเจ้าบอกเลย บอกว่าเราเป็นไก่ตัวแรก ที่เจาะฟองไข่อวิชชาออกมา กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่เป็นสมมุติ ที่พาให้จิตนี้เวียนไปในวัฏฏะ วนไปในวัฏฏะ มรรคญาณ ด้วยมรรคญาณ ได้เจาะ ได้ทำลายเปลือกไข่ เปลือกไข่อวิชชาออกมา เราเป็น ในบรรดาสัตว์สองเท้า ไม่มีใครเลิศกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในบรรดาสัตว์สองเท้า ไม่มีใครเลิศกว่า เป็นผู้ที่เจาะฟองไข่ออกมา ถือว่าสูงสุด แล้วจะไปกราบใคร การกราบการบูชาคนอื่น คนอื่นจะได้บาปนะ แต่ท่านไม่พูดตรงๆ อย่างนั้น พราหมณ์น่ะ เวลาพูดด้วยเหตุผล ยอมจำนนหมด สิ่งนี้มันเกิด ปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิจิต เวลามาเกิดในไข่แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ มันมาโดยตามเวรตามกรรม
มาตามเวรตามกรรม แต่ในใจมันก็มีเวรกรรมของมันขึ้นมาใช่ไหม เวลาเราเกิดเป็นเราแล้ว เราเกิดในสายเลือดใคร เราเป็นญาติเราโดยสายเลือดแล้ว สายเลือดข้างพ่อ สายเลือดข้างแม่ สายเลือดอันนี้ พอสายเลือดอันนี้ เห็นไหม มันมีกรรมพันธุ์มา มันมีต่างๆ กันมา พอมีกรรมพันธุ์ ความคิด ที่ว่าความคิดมันส่งออก
ความคิดมันส่งออก ความคิดไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ความคิด เพราะอะไร มันเป็นสมมุติ ชาติเดียวเท่านั้นน่ะ พอหมดชาตินี้เราก็ไปเกิดใหม่ พอหมดชาตินี้เราก็ไปเกิดใหม่ แต่ไอ้เวร บุญกรรมที่สร้างในชาตินี้มันจะตกผลึกลงที่ใจนี้ นี่ มันปัจจุบันนี้ เราเกิดในพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าเอาศาสนาสอนเรื่องอริยสัจ เรื่องสัจจะความจริงของมรรคญาณ ความคิดไม่ใช่จิต แล้วความคิดที่ว่าปัญญาๆ ที่ว่าเราฉลาดกันมาก เรารู้เรื่อง เรารู้เหตุรู้ผลรู้ต่างๆ โง่หมดเลย โง่หมดเลยเพราะอะไร เพราะกิเลสพาใช้ไง ความคิดเกิดบนอะไร ดูสิ สิ่งของมันตั้งอยู่บนอะไร ตั้งอยู่บนที่ตั้งของมัน ความคิดตั้งอยู่บนอะไร ที่ตั้งของความคิดอยู่ที่ไหน
ถ้าความคิดไม่มีที่ตั้ง ความคิดเกิดจากอะไร นี่ไง พอความคิดมันเกิดจากที่ตั้ง เกิดจากกิเลสมันออกมา มันเลยเป็นความโง่หมดเลยไง โง่เพราะอะไร โง่เพราะกิเลสมันพาใช้ โง่เพราะอวิชชา อวิชชามันสร้างความคิดนี้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ตรึกธรรมะพระพุทธเจ้า แต่มันตรึกในอวิชชา อวิชชามันคาดมันหมาย มันให้ค่า เราถึงต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา
พุทโธๆ นี่เข้าไป จนจิตมันเป็นฐีติจิต จิตสะอาด สะอาดด้วยการทำความสะอาดของสัมมาสมาธิ กรรมฐานสัมมาสมาธินี่สามารถ สามารถที่จะทำให้กายกับจิตแยกจากกันได้ เวลาทำความสงบ สมาธิขึ้นมานี่ กายกับจิตมันแยกออกจากกันเลย แต่แยกด้วยกำลังของสมาธิ แยกด้วยกำลังของสมถะ
ดูสิ อย่างมหายาน เขาเวลาเขาถอดจิต เขาบอกจิต เหมือนกล้วย ร่างกาย มนุษย์นี่เหมือนกล้วย มันมีเปลือก กับ เนื้อกล้วย เวลาเขาปอกเปลือกกล้วย เห็นไหม คนที่เขาทำสมาธิ โดยที่ว่าเขามี ลัทธิของเขา ความเชื่อของเขา เขาไม่ต้องการนิพพาน เขาต้องการรื้อสัตว์ขนสัตว์ เขาต้องการๆ เพราะตัวเองเป็นโพธิสัตว์ เห็นไหม เขาจะถอดจิต แล้วจิตเขาจะสงบได้ เขาจะถอดจิต จิตนี่จะออกจากร่าง เหมือนกับเรานั่งนี่ มีจิตถอยออกมาจากร่างนี้ได้เลย
นี่เป็นอุดมคติในศาสนาเขานะ ในลัทธิของเขา แต่ในพุทธศาสนา ในเถรวาทเรานี่ไม่คิดอย่างนั้น ในเถรวาทเรานี่ เวลาจิตมันสงบขึ้นมา เห็นไหม จิตมันสงบ พอสงบเข้ามา มันพุทโธๆ สงบไป จนสักแต่ว่า มันเป็นตัวจิตล้วนๆ มันไม่รับรู้เรื่องกายนี้เลย ทั้งๆ ที่มีหัวใจกับปกติ ปกติเราโดนหยิกสิ เจ็บหมด จับตรงไหนรู้สึกตัวหมด พอมันหดเป็นตัวมันเองโดยธรรมชาติ มันไม่รับรู้เลยนะ มันไม่รับรู้ มันเป็นสัมมาสมาธิเลย เห็นไหม
สมถะมันสามารถแยกกายกับจิตออกจากกันได้เลย แต่ถ้าคนยังไม่รู้เรื่องมันก็งงไปหมด แต่ถ้าผู้ที่ครูบาอาจารย์ที่เขาประพฤติปฏิบัติแล้ว พอจิตสงบ มันแยกได้เลย แต่แยกอย่างนี้นะ มันแยกด้วยสมถะ แยกอย่างนี้มันแยกด้วยวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางจิต เพราะจิตมันหดตัวเข้ามา มันเป็นธรรมชาติของมัน แต่ไม่ได้อะไรเลย ไม่มีประโยชน์อะไรเลยๆ
ทีนี้พอในเถรวาท ในครูบาอาจารย์เราสอนนะ ตั้งสติ แล้วกำหนดปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญาแล้วแต่ พอจิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามา มันมีสติ มันรับรู้ สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ คือเหมือนเรา เราทุกข์ เรายาก เราร้อน เราต่างๆ เราเป็นคนรักษาใจเรา
พอเรารักษาใจเรา เราทุกข์เรายากเราร้อนใช่ไหม เห็นไหม เรารักษาใจเรา เพื่อจะแก้ไขทุกข์แก้ไขยาก แก้ความเดือดร้อนใจ ถ้าพอจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม พอจิตสงบเข้ามานี่มันสะอาด สะอาดจากกิเลสตัณหา สะอาดจากอวิชชา ถ้ามีอวิชชาคือความไม่รู้สึกตัว คือความหลงใหล หลงใหลว่ารู้ หลงใหลว่าฉลาด หลงใหลว่าเรารู้ธรรมะ หลงใหลไปหมดเลย กิเลสพาใช้ ปัญญาโดยกิเลส ปัญญาโดยภพ จะไม่รู้อะไรเลย
แต่ถ้าวันไหนเป็นปัญญาอบรมสมาธิ หรือสมาธิอบรมปัญญา มันหดตัวเข้ามาเป็นธรรมชาติของมัน ธรรมชาติที่รู้ว่าตัวอยู่ ธรรมชาติที่อยากพ้นจากทุกข์ ธรรมชาติอันนี้มันเป็นสัมมาสมาธิที่มันจะออกรู้ ออกรู้หนหนึ่ง ออกรู้คราวนี้นะ ออกรู้แบบผู้ใหญ่ ออกรู้แบบคนมีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ออกรู้โดยอวิชชา ออกรู้โดยอวิชชาโดยธรรมชาติ มันไหลไปตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ความรู้สึกความนึกคิดมันมี
ดูเด็กๆ สิ ขัดใจมันก็ร้องไห้ มันเป็นสัญชาตญาณของมันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่พอเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา มีการขัดใจ ถ้าเรารู้ว่าผิดถูกนะ เรายังยับยั้งความคิดเราได้ จิตถ้ามันสงบเข้ามาแล้วเห็นไหม พอสงบเข้ามา ออกรู้คราวนี้ ออกรู้แบบวิปัสสนา ออกรู้หมายถึงว่า จิตสงบแล้วนี่ จิตจับกายเวทนาจิตธรรมได้ โดยสัจจะความจริง โดยสัจธรรม
แต่ปัจจุบันนี้ กาย เวทนา จิต ธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณากายๆ โม้ทั้งนั้น มันเป็นการสร้างภาพของจิต มันเป็นการสร้างภาพของอวิชชา มันเป็นตรรกะ โลกนี้เห็นไหม สักแต่ว่าๆ สักแต่ว่า มันปฏิเสธเฉยๆ ไง
ดูสิ เห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ หมายถึงว่าปัดสวะ ปัดสวะหน้าบ้านไง เวลามันมีสวะมาติดหน้าบ้าน ก็ปัดๆ มันออกไป โอ๊ย ว่าง โอ๊ย สบาย ไม่มีอะไรเลย โง่ทั้งนั้น! ดักดานกับกิเลสไง! ความคิดๆ มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติก็ปล่อยมันก็ว่างหมด อย่าไปกดอย่าไปถ่วง ปล่อยธรรมดา
เวลาเกิดในไข่ ใครมาเกิด เป็นธรรมดาไหม มันมาโดยสัญชาตญาณ มาโดยธรรมชาติของมันนะ ธรรมชาติของกรรมไง กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กรรมมันบันดาลมานะ มันจะเป็นธรรมชาติอย่างนั้นได้อย่างไร มันมีอวิชชาขับเคลื่อน แต่เพราะความโง่ เพราะความไม่เห็น แต่พอจิตมันสงบเข้ามา แล้วมันออกรู้ ออกรู้นะ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันสะเทือนหวั่นไหวจนขั้วหัวใจ
เพราะความยึดติดของเรามันอยู่ที่ขั้วหัวใจคืออยู่ที่จิตใต้สำนึก ความหลงใหลของกิเลส มันอยู่ที่จิตใต้สำนึก มันไม่ได้อยู่ที่สมองอยู่ที่ความคิดนี้หรอก ถ้าอยู่ที่สมองอยู่ที่ความคิดนี้ เราสามารถแก้ไขกันได้ ด้วยทางวิทยาศาสตร์ ด้วยความรู้ของเรา
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า นี่ไง มันถึงว่าจะสอนได้อย่างไรๆ เพราะว่าความคิดอันหนึ่งเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลก ปัญญาของโลกทัศน์ ปัญญาของสิ่งที่เกิดขึ้นจากฐีติจิต นี่คือเรียกว่าโลก โลกทัศน์ ความรู้สึกนี้คือโลก โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือจิตของเราไง เพราะจิตของเรามันเวียนตายเวียนเกิด มันมีภพ มีสถานที่ มันถึงเป็นโลกอันละเอียด ที่วิทยาศาสตร์จับต้องไม่ได้
แต่ถ้าเป็นธรรมะ ถ้าจิตมันสงบ จิตแก้จิต จิตที่เป็นสมาธิ มันจะย้อนกลับเข้าไปเห็นตัวตนของมัน เห็นตัวตนของมัน ถ้าโง่ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา เห็นตัวตนของเรา แค่นี้ นิพพาน ว่าง เดี๋ยวก็เสื่อม สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นมีการเกิดขึ้น มันหดตัวขนาดไหน มันหดสั้นขนาดไหน เดี๋ยวมันก็แสดงตัวออกมา มันมีโดยธรรมชาติ
สิ่งที่มีมันคือมี สิ่งที่กิเลสเรามีมันมีอยู่แล้ว เห็นไหม แต่ถ้ามันหดตัวเข้ามา เห็นไหม หดตัวเข้ามา แล้วเราออกรู้ เห็นไหม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ออกรู้ ออกทำความเข้าใจ ออกวิปัสสนา เอาความวิปัสสนาใคร่ครวญของมัน
ใคร่ครวญ จนชำระ ชำระอะไร ชำระทิฐิมานะ ชำระขั้วหัวใจที่มันยึดของมัน ทิฐิมานะ ทิฐิ สักกายทิฏฐิ ความเห็นไง สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิดของจิต จิตว่าตัวมันเป็นมัน จิตมันจะเข้าใจว่าตัวมันเป็นมัน ทางวิทยาศาสตร์มันมีอยู่แล้วใช่ไหม ธรรมชาติทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีรูป มันมีสิ่งที่เป็นสสาร ที่มี จริงไหม
ถ้าไม่มีเราจะรู้ว่ามันมีขึ้นมาได้อย่างไร สภาวะความคิดก็เหมือนกัน มันก็มีของมัน มันมีของมัน แต่มันมีโดยธรรมชาติของมัน มันมีความรู้สึกของมันเพราะจิตมันมี จิตนี้มันมี จิตนี้มันเกิดมันตายในวัฏฏะเยอะแยะไปหมดแล้วล่ะ แต่มันไม่มีใครรู้ได้ ไม่มีใครเห็นได้
แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพิสูจน์แล้ว พระพุทธเจ้าทำได้แล้ว ธรรมะนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ องค์ก่อนๆ นั้นก็มีอยู่แล้ว แต่จะมีอย่างนี้ได้ มันต้องเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะตรัสรู้ด้วยความชอบธรรม
แต่ของเรา เราไปศึกษา เพราะพระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้มันก็ไม่มีทฤษฎีนี้ออกมา ไม่มีบัญญัติพระพุทธเจ้าที่ออกมา พอพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติออกมา ดันรู้นะ อยากรู้ รู้บ้างๆ แต่ไม่รู้จริง ถ้ามันรู้จริงของมัน เห็นไหม รู้จริงมันมีการกระทำ มีความเป็นไปในหัวใจ พอรู้จริงขึ้นมา เห็นไหม รู้จริงขึ้นมาแล้ว
พอพระอัญญาโกณฑัญญะ เห็นจริงตามความเป็นจริง เห็นไหม ปล่อยหมด พอปล่อยขาด สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นมา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา แล้วเหลืออะไร ก็เหลือจิตที่รู้ เพราะเป็นพระโสดาบัน ยังไม่สิ้นหรอก พอรู้ปั๊บ พระพุทธเจ้ารู้แล้ว เพราะมันเป็นความรู้ความเห็น ปัญญาจากสมอง ปัญญาจากสติ ปัญญาจากวิทยาศาสตร์ แก้กิเลสไม่ได้
ภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากการจำ ปัญญาเกิดจากการพิสูจน์ เกิดจากสิ่งต่างๆ มันเป็นปัญญาของจิต ที่จิตมันสร้าง มันเป็นธรรม เพราะจิตมันสงบแล้ว ความคิดที่มันเกิดขึ้น ความคิดของเรานี่มัน ความคิดของพวกเรา สัญชาตญาณ มันต้องผ่านสมอง ถ้าไม่มีสมอง ไม่มีความคิดออกมานี่ จิต ตัวจิตจริงๆ มันคิดของมันออกมาได้อย่างไร
ทีนี้พอมันหดสั้นเป็นตัวจิต ตัวจิตมันเกิดปัญญาขึ้นมา มันทำลายตัวมันเอง ทำลายตัวมันเองเพราะอะไร ความคิดเกิดขึ้นมา เหมือนของที่สกปรก เห็นไหม เราล้างสะอาด สิ่งนั้นก็มีอยู่ แต่มันสะอาด ใจที่มันมีอวิชชาอยู่ พอมันล้างด้วยสัจธรรม มันก็ขาด คำว่าขาดคือสังโยชน์ขาด
พระโสดาบันเป็นโสดาบันได้เพราะเหตุใด เป็นพระโสดาบันด้วยสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์ๆ คืออะไร ถ้าคนไม่เคยเห็นสังโยชน์ คนไม่เคยละสังโยชน์ มันจะรู้ว่าสังโยชน์เป็นอย่างไรได้อย่างไร แต่คนที่เคยละ มันละ มันทำออก สิ่งที่ร้อยรัดอยู่ เราสลัดออกไป เรารู้เราเห็น เห็นไหม พอเรารู้เราเห็น มันขาดออกไป
สิ่งที่ขาดออกไป สังโยชน์ขาดออกไป พระสกิทา กามราคะปฏิฆะอ่อนลง พระอนาคา กามราคะ ปฏิฆะ กามราคะเกิดจากอะไร? เอาศพกับศพมานอนก่ายกัน มันจะมีความรู้สึกไหม? กามราคะมันเกิดจากจิต มันเกิดจากหัวใจที่มันปรารถนา
ถ้าหัวใจที่มันปรารถนา ดูสิ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย จะเป็นจะตายอย่างนี้ มันจะให้ไปเสพกามที่ไหน ก็กูจะตายอยู่แล้ว แต่ลองจิตถ้ามันแข็งแรง มันไปหมด มันเกิดจากเราก่อนไง เกิดกามฉันทะ เกิดจากตัวจิต แล้วตัวจิตมันมีแรงปรารถนา แรงปรารถนามันต้องมีความพอใจของมัน
แล้วถ้าเป็นภิกษุเวลาจะทำกามราคะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันเห็นอสุภะอย่างไร อะไรเป็นอสุภะ อะไรมันเป็นสุภะ สุภะนี่มันมีโดยสัญชาตญาณ สุภะคือว่าทุกคนชอบความงาม ชอบสิ่งที่ตัวตนปรารถนา ตัวตนต้องการ
พออสุภะ อสุภะมันเกิด อสุภะเกิดจากอะไร เกิดจากสัจธรรม สัจธรรมเพราะอะไร เพราะจิตมันสงบ จิตสงบ จิตมีกำลัง มีสติ มหาสติ แล้วมันออกไปเห็นสภาวธรรม สภาวธรรมเพราะจิตมันชอบของสิ่งนี้ มันพอใจ แต่สภาวธรรม สภาวธรรมมันเป็น มันไม่มีอะไรคงที่ไง
โลกนี้สิ่งใดคงที่? ไม่มี สิ่งที่สวยงามของมึง ที่มึงปรารถนา มันแปรสภาพ มันไม่มีหรอก มันไม่มี แต่เพราะมึงอยากได้ มึงต้องการ แล้วมึงก็เสวย มึงก็เสพ ในหัวใจมึงเป็นครั้งเป็นคราว พอเสพเข้าแล้วก็จะให้มันอยู่อย่างนั้นตลอดไป พออยู่อย่างนั้นตลอดไป ก็เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนความคิดใหม่ อารมณ์มันเปลี่ยนแปลง มันทุกๆ ความคิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดับไป สิ่งที่มันจับ
ฉะนั้น พอมันเป็นธรรมขึ้นมา สิ่งที่เป็นธรรม เพราะจิตมันสงบ มันมีฐาน มันเป็นปัจจุบัน มันไม่เปลี่ยนแปลง พอไม่เปลี่ยนแปลง จิตมันตั้งอยู่ แล้วมันจะเห็นของมัน ในสภาวะที่เร็วมาก แล้วจับได้ วิปัสสนาได้ มันปล่อย มันเข้าใจได้ พอเข้าใจได้ มันเห็นโทษของตัวเองไง
เห็นโทษอะไร เห็นโทษเพราะทุกข์ยากก็เพราะมึงนี่แหละ มึงเกิด มึงตาย มึงเวียนอยู่ ก็เพราะมึงนี่แหละ มึงนี่แหละ แต่เราอยากจะพ้นทุกข์ มึงพ้นที่ไหน เพราะมึงไม่เห็นตัวมึงไง พอมึงมาเห็น มึงมารู้ วิปัสสนามันก็ปล่อย พอปล่อยฝึกฝนเร็วเข้าบ่อยครั้งชำนาญเข้า จนเร็วเข้า จนเข้ามาระเบิดที่ตัวตนตัวนี้ จิตนี้จะทำลายหมดเลย
นี่เห็นไหม ขันธ์อันละเอียดโดนทำลายหมด ทีนี้เหลือแต่สภาวะเฉยๆ สภาวะสว่าง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส สิ่งที่ผ่องใสขนาดไหนมันก็คู่กับเศร้าหมอง มีความผ่องใสใดบ้างที่มันไม่เศร้าหมอง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่ไง จะสว่างไสว จะว่างขนาดไหน โกหกทั้งนั้นๆ
แต่ถ้าเป็นความจริงนะ มันข้ามจากความผ่องใส ทำลายความผ่องใส ทำลายทุกๆ อย่างเลย การสภาวะแบบนี้ เห็นไหม นี่ที่ว่า ถ้ามัน ธรรมมันมี ถ้าใจเป็นธรรม เห็นไหม ถ้าเราทำจิตใจของเราให้เป็นธรรมขึ้นมาได้ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสมมุติ
แต่เวลามันเกิดจากจิตของเรา เราทำได้แล้ว วิมุตติมันอยู่ที่นี่ แล้ววิมุตตินี่นะมันเป็นปัจจุบันตลอด ไม่มีอกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา มนุษย์คนไหน จิตเทวดา อินทร์ พรหม ดวงใดก็แล้วแต่ ทำเดี๋ยวนี้ ได้เดี๋ยวนี้ วิมุตติก็เป็นเดี๋ยวนี้ อยู่ในหัวใจเดี๋ยวนี้ สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก สัมผัสด้วยใจ ตัวใจตัวนี้เป็นความจริง
สิ่งที่เป็นความจริงนะ พอเป็นความจริงจากเราแล้ว เรารู้จริงขึ้นมาแล้ว สิ่งต่างๆ เป็นชื่อเฉยๆ นะ อย่างว่านิพพาน สภาวธรรมๆ มันพูดไม่ได้หรอก อ้าปากขึ้นมาก็ผิดหมดล่ะ ธรรมเกิดขึ้น ถ้าธรรมเกิดขึ้น เราทำของเรา จะเป็นสมมุติหรือเป็นอะไร อย่าปฏิเสธมัน อยู่กับมัน แล้วสู้กับความคิด สู้กับทุกอย่าง
ถ้าสัจธรรมหรือความจริงมันเกิดขึ้น สิ่งนั้นมันจะหายไป หลุดไป สลัดทิ้งไป เป็นธรรมดา แต่ถ้าเราตรึก เรายังตรึกมันอยู่ คำว่าตรึก ถ้ายังทำสิ่งใดไม่ได้ คำว่าตรึกคือการต่อสู้นะ ตรึกสู้กัน ตรึกธรรมะ โดยใจของเรานี่ตรึกธรรมะ นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ คำว่าตรึกธรรมะ ใครเป็นคนตรึกก็เรา
มันมีผู้ตรึก มีผู้กระทำ ผู้กระทำนั้นยังเศร้าหมอง ผู้กระทำนั้นยังมีความสกปรกในใจ แต่ถ้าเราไม่มีธรรมของพระพุทธเจ้ามาชำระล้าง เราจะตรึกก็ตรึกแต่เรื่องกิเลส ทีนี้พอเราตรึกในธรรม ปัญญาอบรมสมาธิ หรือเราตรึก ตรึกเป็นปัจจุบัน แล้วอย่าไปเสียดาย อย่าไปเสียดายว่าเรารู้เราเห็นสิ่งใด
เพราะสิ่งที่รู้มันเป็นสิ่งที่เราได้ประสบใหม่ มันจะรู้ อารมณ์ความรู้สึกนี่ หวงแหนมาก แต่ถ้าเรามีปัญญาลึกเข้าไปนะ มันจะละเอียดกว่านี้ ดีกว่านี้ แต่เราพยายามไปยึดสิ่งที่เราได้สัมผัส เราได้รู้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นปัญญาของเรา นี่ไง ครูบาอาจารย์ที่ภาวนาเป็นท่านบอก
มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด
ของอย่างนี้มันเกิดหยาบๆ ถ้ามันย่อยสลาย มันละเอียดกว่านี้ มันจะดีกว่านี้อีกมาก ฉะนั้นไม่ต้องไปหวงแหน หวงแหนความรู้ไง ว่าปฏิบัติไป โอ๊ย รู้เรื่องนั้น ว่างนะ สว่าง ดีอย่างนั้น มันจะดีกว่านี้อีก ถ้าเราตั้งเหตุ ทำให้ดีกว่านี้ ถ้าไปหวงแหนคือเหนี่ยวรั้งไว้นะ ไม่ได้ เดี๋ยวก็เสื่อม ไม่มีสิ่งใดอยู่กับเรา ไม่มีสิ่งใดจะสัมผัสกับเรา แล้วอยู่กับเรา โดยที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีๆ
แต่ถ้าเรามีเหตุ มีสติสัมปชัญญะ เรามีกำหนดคำบริกรรม เรามีปัญญาใคร่ครวญอยู่ เราสร้างเหตุอยู่ เหตุมันจะสาวไปหาผล หน้าที่ของเราสร้างเหตุ เวลาเราอยากพ้นจากทุกข์ อยากจะทำคุณงามความดี ตั้งสติ แล้วตั้งสติ แล้วกำหนดพุทโธๆ มันทำยากนะ ทำยากเพราะอะไร ทำยากเพราะจิตเรา
พระพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ มันเกิดมาไม่มีต้นไม่มีปลาย คือมันสะสม มันสะสมข้อมูล มันสะสมจิตนิสัย มารนี่ มารมหาศาล แล้วพอมาวันนี้ พุทโธๆๆ จะให้มันอยู่ มันเทียบเคียงกันได้ไหม มันเทียบเคียงกันไม่ได้ นี่เพียงแต่พอเรามาศึกษา เรามีความศรัทธา
ธรรมะย่อมชนะอธรรม
ธรรมะไง ภิกษุหรือนักพรตเรา จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา มันจะสามารถเอาชนะได้ นี่ความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ มันมีแต่ มันเริ่ม เหมือนกับแสงหิ่งห้อย เราเพิ่งจุดประกายขึ้นมา แล้วจะให้มันชนะกิเลส ชนะความเคยใจ มันยากมาก
นี่พอมันยากมาก เราต้องสู้ไง เราต้องสู้ เราต้องเข้าใจ ถ้ามันไม่สู้ เอ๊ะ เราคิดว่าก็มัน ๕๐ : ๕๐ คือมันเท่ากันใช่ไหม กิเลส ๕๐ ธรรมะก็ต้อง ๕๐ ต่อสู้กันแล้วมันต้องเห็นผล ต้องเข้าใจเลย ไม่ใช่! กิเลสนี่ ๙๙ ธรรมะ ๑ แค่นั้น
ธรรมะ ๑ ก็คิดได้เดี๋ยวเดียว สู้มัน แล้วสร้างขึ้นมาจาก ๑ จากท้อถอย ครูบาอาจารย์ ดูพระพุทธเจ้าสิ ทุกข์ยากมาก ครูบาอาจารย์ของเรานะ เอาชีวิตเข้าแลก เวลาเราคิดดี มันคิดดีได้พักๆ หนึ่ง ทีนี้พอมันคิดได้พักๆ หนึ่ง เดี๋ยวพอมันคิดชั่ว หรือคิดโดยกิเลส มันจะรุนแรงมาก
ทีนี้พอรุนแรงมาก เราก็คิดดีใช่ไหม เราก็จะเอาความคิดนี้เข้าต่อสู้กับมัน ๑ กับ ๙๙ มันจะรุนแรง พอรุนแรง เราจะเสียใจ เราจะน้อยใจ ทุกคน ผู้ปฏิบัติจะเป็นอย่างนี้หมดนะ ก็ทำดีไง ก็นั่งสมาธิไง ก็นั่งนี่ ปฏิบัติบูชาไง ทำไมไม่เห็นความดงความดีเลย มีไง มีปวดไง มีปวดมีเจ็บมีร้อน แล้วมันจะน้อยเนื้อต่ำใจ
น้อยเนื้อกับกิเลส มันเหตุเราไม่พอ เหตุเรามันน้อย ถ้าเหตุเราต้องต่อสู้ เราต้องเข้มแข็ง คำว่ายาก ยากตรงนี้ ยากตอนปฏิบัติเริ่มต้น เริ่มต้นนี่ปฏิบัติยากมาก เพราะมันเหมือนการฝึกงาน เราทำงานยังไม่เป็นทำงานยังไม่ได้ คำว่าภาวนาเป็นไม่เป็นมันอยู่ตรงนี้นะ
ถ้าภาวนาเป็น เหมือนเป็นผู้ใหญ่ คนฝึกงานทำงานจนชำนาญงาน มองเห็นงานรู้เลยงานถูกงานผิด แล้วควรแก้ไขอย่างไร เราปฏิบัติ บ่อยครั้งเข้าๆ มันจะรู้ รู้ช่องรู้ทาง หมั่นแก้ไขของเรา ความแก้ไขนั้นมันจะทำให้เรา ความเพียร เห็นไหม เราจะล่วงพ้นด้วยความเพียร
ความเพียร ความหมั่น ความวิริยะอุตสาหะ ครูบาอาจารย์ท่าน องค์ที่ท่านปฏิบัติมา ต้องทำอย่างนั้นจริงๆ นะ แล้วดูสิ ดูอย่างเหล็ก เขาจะตี เห็นไหม เขาต้องเผาให้มันแดง ให้มันร้อน อุณหภูมิให้มันพอ เขาจะตีเหล็กได้ แล้วพอออกจากเตามานี่ เราจะตีได้กี่ที
พอตีแล้ว เหล็กมันจะเย็นลงตามธรรมชาติของมันไหม เราจะตีได้ตลอดไปไหม ใจของเราก็เหมือนกัน กว่าจะทำสมาธิได้ กว่าจะทำได้แต่ละหน แล้วพอเสร็จแล้วออกมาตี แล้วเราจะมีโอกาสตีได้กี่นาที นี่ไง มันยาก มันยากอย่างนี้ไง ถ้ามันยากอย่างนี้แล้วเราจะทำ
พระพุทธเจ้าถึงท้อใจ ว่าจะสอนอย่างไร จะทำอย่างไร ไอ้พวกเราก็คิดโดยกิเลส คิดโดยตัวตน คิดโดยโลกทัศน์ คิดโดยปัญญาของเราไง มันต้องทำได้สิ ต้องทำอย่างนั้นสิ ไม่มีทางได้เลย เพราะอันนี้คือสัญญา อันนี้คือกิเลส มันเอามาใช้แล้ว แต่พอเราจะปฏิบัตินะ ทิ้งให้หมดเลย
อย่างเช่น เข้าทางจงกรม จะชั่วโมงหรือ ๒ ชั่วโมงก็แล้วแต่ ทิ้งให้หมดเลยแล้วทำมันไป เหมือนกับความร้อน เห็นไหม ต้มน้ำ ถ้าความร้อนมีอุณหภูมิเท่านั้นน้ำจะเดือด นี่ก็เหมือนกันนะ ภาวนา ๑ ชั่วโมง พอ ๒๕ นาทีแล้วจิตมันจะดีขึ้นแล้ว พอ ๕๐ นาทีแล้ว โอ้โฮ จิตนี้ยิ่งดีขึ้นมาใหญ่ คาดการณ์ไปหมดเลย เห็นไหม
ปล่อยให้หมด จะเป็นก็เป็น จะไม่เป็นก็ปฏิบัติบูชา ทำเพื่อเราไง ทำเพื่อเรา ทำเพื่อความจริงของเรานะ เอาล่ะเหนื่อยแล้ว ให้ตั้งใจให้ทำให้ดีนะ มีอะไรไหม อยากจะถามอะไรบ้างหรือยังล่ะ
โยม : ความดีเลวนี่เป็นสมมุติไหมครับ
หลวงพ่อ : ถ้าความดีเลวนี่เป็นสมมุติ เทียบอย่างนี้ก่อนนะ ถ้าคำว่าสมมุติ คำว่าดีเลวนี่สมมุติแน่นอน แต่สมมุติของใคร ถ้าพูดถึงความดีนี่นะ ความดีความเลวนี่ตายตัว ดีคือดีจริงเลย แล้วถ้าดี เห็นไหม ดูเด็กๆ สิ เอาแค่เด็กๆ เด็กๆ ถ้าลูกอ่อนเรา มันกินแล้วนอน มันอยู่โดยปกติของมัน พ่อแม่จะ โอ้โฮ ได้ลูกดี เพราะอะไร เพราะมันเลี้ยงง่าย นั่นดีไหม ดี นี่ความดีเด็กๆ ใช่ไหม
ถ้าโตขึ้นมาจะดีอย่างนั้นตลอดได้ไหม ไม่ได้ นี่พูดถึง ขนาดดีนะ ดีนี่มันยังมีเริ่มต้น ดีมากดีน้อยดีขนาดไหน แล้วถ้าพูดถึงดี มันดีของใคร ดีของคนชั่ว
คนชั่วคิดชั่วง่าย คิดดียาก คนดีคิดดีง่าย คิดชั่วยาก
ถ้าคนชั่ว คนชั่วมันเหมือนสัญชาตญาณ มันฝังมา มันมองอะไรมันมองเป็นชั่วหมดนะ โทษนะ อย่างเช่น นักเล่นหวย เห็นไหม เขามองอะไร เขาจะตีเป็นเลขหมดเลย โดยสัญชาตญาณของเขา เขาจะเห็น เห็นรถ เห็นอะไร เลข ๒ เลข ๘ เขาตีเป็นเลขหมดเลย
ไอ้คนไม่เคยเล่นหวย งงนะ เฮ้ย มึงตีเป็นเลขได้อย่างไรวะ นี่คนชั่วเหมือนกัน คนชั่วหมายถึงสัญชาตญาณของเขา มันจะคิดแต่เรื่องอย่างนี้ ดูสิ มันมีนะ
อย่างเช่นที่ภาคใต้ เราดูสารคดี ที่โจรมันปล้นมันฆ่าทั้งครอบครัวเลย ฆ่าทั้งครอบครัวเพราะอะไร เพราะเขาจับได้แล้ว เขาถามว่า ฆ่าเพราะเหตุใด ฆ่าเพราะเขาได้ข่าวว่าครอบครัวนี้ขายวัวชนได้หลายล้าน วัวมันดี พอได้หลายล้านเขาคิดว่าได้สตางค์มาแล้ว เขาไปดักไง จับลูกไปหมดเลย แล้วพ่อแม่กลับมา เป็นครูนะ จับมาก็มัดไว้ แล้วฆ่าลูกทีละคน
ให้พ่อแม่บอกที่ซ่อนทรัพย์ พ่อนี่แทบคลั่งเลย เพราะเงินยังไม่ได้ เงินไม่มี เขาได้ข่าวมาผิด เขาไม่มี คนที่ไม่มีมันจะบอกได้ไหมว่าเงินอยู่ที่ไหน แล้วเขาฆ่าลูกทีละคน ละคน แล้วก็ฆ่าเมีย แต่ตอนฆ่าอยู่นะ ไอ้พ่อบอกว่า ให้ฆ่าเขาก่อนๆ เขาทนไม่ไหว แต่เขาฆ่าลูกฆ่าเมีย เพื่อให้พ่อ ให้สามี บอกที่ซ่อนทรัพย์
แล้วพอฆ่าเสร็จแล้วนะ พอฆ่าเสร็จ ฆ่าเสร็จแล้วเพราะมันไม่มีใช่ไหม ก็ต้องฆ่าจนหมด พอหมดแล้วเขาก็หนี พอหนีเขาจับได้ ตำรวจเขาจับได้ จับคนนี้ได้ เขาสัมภาษณ์ เขาบอกว่า โดยข้อเท็จจริงแล้ว มันไม่มีสตางค์ เห็นไหม สตางค์เขาไม่มีหรอก แล้วไปฆ่าเขาอย่างนี้ เป็นบาปเป็นกรรมไหม?
เขาบอกว่ามันเป็นธรรมดาคือเขาชั่วจนเข้าสายเลือด เขาไม่รับผิดชอบอะไรเลยนะ เขาไม่รู้อะไรเลยนะ โอ๊ย เห็นแล้วงงเลยนะ เอ็งฆ่าเขาด้วยความเข้าใจผิดของเอ็ง แล้วเอ็งฆ่าเขาด้วยความทรมานมากนะ
ทรมานคืออะไร เขาฆ่าลูกทีละคนๆ แล้วพ่อแม่ที่รักลูก เอ็งคิดถึงหัวใจเอ็งจะบุบสลายขนาดไหน มันขอร้องบอกฆ่าผมก่อนเถอะ มันจะฆ่าทำไม เพราะมันจะฆ่าลูก เพื่อให้พ่อบอกที่ซ่อนทรัพย์ แล้วพอถึงที่สุดแล้วนะ พอเรื่องแดงออกมา คือเขาไม่มีจริงๆ คือเขาไม่ได้ขาย
เขาเลยบอกคนชั่ว เห็นไหม มันคิดชั่วได้ง่าย คือ ความดีเห็นไหม ความดีของคนชั่ว จริงไหม เป็นสมมุติไหม คือมันมุมมองของความดีของใครไง เราบอกคนติดดีนะ ติดชั่ว คนชั่ว เห็นไหม คำว่าชั่วเรารู้ว่าชั่ว เราแก้ไขได้นะ แต่เราเข้าใจว่าดี นี่ไง กุศลทำให้เกิดอกุศล อกุศลทำให้เกิดกุศล กุศลความดี ทำให้เกิดอกุศล เห็นไหม
คนไปวัดเยอะแยะเลย แล้วไปทะเลาะกันในวัด แข่งดีกัน ยิ่งไปหาพระองค์ไหนนะ เป็นที่รัก เป็นที่เคารพนะ พระรัก พอมีลูกศิษย์คนใหม่มานะ ถ้าพระไปรักคนนั้นมาก แม่ง โกรธเลยนะ ติดดี เป็นสมมุติ
ตอนนี้ ดีจริง ดีโดยอย่างพระพุทธเจ้า อย่างครูบาอาจารย์ ถ้าดีในหัวใจแล้วนะ หลวงปู่มั่นพูดไว้ชัดเจนมากเลย หลวงปู่มั่นบอกว่า
ดีที่ไม่มีโทษ
ดีแท้ไง ดีที่ไม่มีโทษ ไม่มีสิ่งใดเศร้าหมอง ไม่มีสิ่งใด ความดีความรู้จริงของเรา เอาชนะเราได้ ฉะนั้นมันติดว่าดี โธ่ ถ้าเป็นดี อย่างเรานี่ บวชไม่ได้เลย อ้าว คนดีต้องอยู่กับพ่อแม่ มึงมาไม่ได้ละ
โยม : อย่างสัตว์ พวกสัตว์เดรัจฉานครับ เขาไม่มีสมมุติว่าดีหรือเลว เขาจะทำยังไง
หลวงพ่อ : สัญชาตญาณ แต่! แต่สัตว์ดีสัตว์เลวมี เราเลี้ยงหมานี่ นิสัยไม่เหมือนกันนะ หมาบางตัวดีมากเลย สัตว์บางตัว เห็นไหม ดีมากเลย สัตว์บางตัวพาลมากเลย แม้แต่ในหมู่สัตว์มันก็ สัตวยังไม่เอาเลย แต่สัตว์ไม่รู้ดีเลวของมัน แต่เราดูออก เราดูพวกที่เขาทำฟาร์ม เขาเลี้ยงสัตว์มากๆ เขาจะรู้เลย สัตว์ของเขาเป็นอย่างไร
แต่นี่สัตว์ ถ้าพูดอย่างนี้ เราคิดแบบวิทยาศาสตร์ เพราะมีคนมาถามอยู่บ่อย เราพูดถึงวัวควาย มันกินหญ้า เห็นไหมมันกินหญ้า แล้วพูดถึงเรา เราคิดถึงศีล ๕ ศีลก็ไม่ผิดศีลใช่ไหม แล้วเสือมันกินเนื้อ ทุกคนจะมาร้องเรียนตรงนี้ มันอ้างไง อ้างเข้าตัวเองไง บอกสัตว์ที่มันไม่ทำลายชีวิตคนมันก็ดี แต่เสือนี่ มันเป็นอาหารของมัน ต้องกินน่ะ ไม่ผิดศีลน่ะ เราถามกลับเลย แล้วทำไมมันต้องไปเกิดเป็นเสือล่ะ ทำไมมันไม่ไปเกิดเป็นควายล่ะ กรรม เห็นไหม ที่เกิด กรรมที่เกิด เกิดแล้วมันก็ทำแต่สร้างสม มันต้องล่า ล่าอาหารมัน
โยม : คือเขาไม่มีแยกแยะเหรอครับ
หลวงพ่อ : ใช่ ไม่มีแยกแยะ สัตว์มนุษย์ไง สัตว์มนุษย์ ไม่เดินขวางโลก เดินตรงไป เห็นไหม ทำไมมนุษย์ถึง.. สัตว์มันทำดีได้นะ ท้าวโฆษกะ เห็นไหม หมาที่ไปคาบจีวรของพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉัน ท้าวโฆษกะ จากหมานะเว้ย ตายไปเป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุด
เพราะมันไปเห่าไปหอน ไปเรียกพระมาฉันข้าว บุญกุศลของมันนะ เป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุด ท้าวโฆษกะ เขาถึงทับศัพท์มาเป็นโฆษกไง พวกโฆษกนี่มาจากหมา ท้าวโฆษกะ เสียงเพราะมาก ก็เลยทับศัพท์ เพราะว่ามันเป็นภาษาบาลี โฆษก โฆษกะ โฆษก หมา เห็นไหม ไปเกิดเป็นเทวดา มนุษย์ไปเกิดในนรก
นี่ไง สุนัข เป็นสัตว์ พระพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์ เห็นไหม เป็นหัวหน้าสัตว์ตลอด ทีนี้คำว่าโพธิสัตว์ มันสร้างคุณงามความดี สัตว์มันสร้างคุณงามความดีได้ ไปนรกสวรรค์ได้ แต่สัตว์มันไปนิพพานไม่ได้ สัตว์ปฏิบัติไม่ได้ เทวดาได้ อินทร์ พรหมได้ มนุษย์ได้
นี่เดรัจฉานไง อบายภูมิ ๔ ที่เราค้านโลก ที่บอกว่ามนุษย์มาจากลิง มาจากอะไรนี่ กูไม่เชื่อ เดรัจฉานมาเป็นมนุษย์ไม่ได้ มนุษย์คือมนุษย์ เดรัจฉานคือเดรัจฉาน เพราะมันมาจากกรรม กามภพ รูปภพ มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ มนุษย์คือมนุษย์ สัตว์ก็คือสัตว์ มนุษย์มาจากมนุษย์นี่แหละ มนุษย์ไม่ได้มาจากสัตว์ที่ไหนหรอก ทีนี้เพียงแต่ว่ามันยาวไกล
ดูสิ พระพุทธเจ้ากี่พระองค์มาแล้ว แล้วทีนี้พอโลกมันเปลี่ยนแปลง เราก็เห็นได้แค่มนุษย์ถ้ำ ยุคหิน ยุคเหล็ก ยุคอะไร ก็ว่ากันไป วิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ไง ดูอย่างว่านี่ พูดบ่อยมากว่า ไดโนเสาร์ ๑๖๐ ล้านปี แล้วมนุษย์ มนุษย์กี่ร้อยล้านปีอยู่ที่ไหน
ไอ้เรื่องอย่างนี้มันเป็นผลของวัฏฏะนะ มันเป็นผลของวัฏฏะ ถ้าระลึกอดีตชาติได้ มันย้อนไปได้เลย อย่างพระพุทธเจ้า ไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วพระพุทธเจ้า คิดดู พระพุทธเจ้า ย้อนไปไม่มีต้นไม่มีปลาย ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย กี่ล้านๆ ปี
แล้วถ้ามันขาดช่วง พระพุทธเจ้ามาเกิดได้อย่างไร จิตนี่ไม่เคยขาดช่วงนะ อย่างพวกเรา ความรู้สึกจะมีกับเรา ความรู้สึกจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป จะไปเกิดอะไรก็เป็นความรู้สึกนี้ไปเกิด ความรู้สึกอันนี้ ความรู้สึกอันนี้ไปเกิดเป็นเทวดา ไปเกิดเป็นอินทร์ ไปเกิดเป็นพรหม ความรู้สึกนี้ไม่ดับ ความรู้สึกนี้ดับไม่ได้
แต่ความรู้สึกนี้เวลาถ้ามันสิ้นกิเลสแล้ว ความรู้สึกนี้คงที่ แล้วคงที่ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อาตมัน ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ถ้าใช่ พระพุทธเจ้าตอนเป็นพระพุทธเจ้านะ แล้วออกบิณฑบาต เห็นไหม ก่อนที่จะไปออกบิณฑบาต จะไปโต้กับพวกลัทธิต่างๆ ทุกคนแพ้หมด เพราะเขาถือ เขาคิดกันอย่างนั้นไง มันเป็นปัจจุบัน
ที่เขาพูด เห็นไหม ที่บอกว่าธรรมะเป็นอย่างนั้นๆ คนรู้จริงไปพูด เพราะคำพูดของเขา มันคือว่ามันช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไว้มันเห็นหมด คำพูดของคนที่ไม่เป็นพูดออกมา มันมีสิ่งที่โต้แย้งได้หมด เพียงแต่คนที่มันมีวุฒิภาวะจะโต้ได้ จะถึงหรือไม่ถึงเท่านั้นเอง
ทีนี้ปัจจุบันนี้ ชาวพุทธเป็นเหยื่อหมด นิพพานเป็นอย่างนั้นๆ ปฏิบัติกัน เหลวไหล เหลวไหลมาก เพราะจะลัทธิอะไร จะมหายาน จะเถรวาทก็แล้วแต่ คนมีกิเลสทั้งนั้น การปฏิบัติ พระพุทธเจ้าสอนแล้ว สัตว์ ๔ เหล่า เห็นไหม ขิปปาภิญญา รู้ง่ายรู้ยาก มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว เพราะมันมาจากเวรจากกรรม
นี่เห็นไหม มนุษย์เกิดมาหมดเลย แล้วทุกคนปฏิบัติ เดี๋ยวนี้เป็นพระอรหันต์หมดเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พระพุทธเจ้าขนไปหมดแล้ว เพราะคนเกิดมานี่มันเหมือน มันเวรกรรมของคน แต่มาไม่เหมือนกัน ต้นทุนคนไม่เท่ากัน ต้นทุนไม่เหมือนกันหมดเลย
แล้วคนที่ต้นทุนไม่เหมือนกัน มันจะให้มันเหมือนกัน เป็นไปได้อย่างไร?
แต่คนที่ประพฤติปฏิบัติ อย่างครูบาอาจารย์เรา ท่านสร้างต้นทุนมหาศาลเลยนะ มหาศาลในอดีตชาตินั้นสร้างมามาก พอสร้างมาก พอเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันนี่แหละ ก็มนุษย์นี่แหละ! มนุษย์เหมือนกันนี่แหละ! แต่มุมมอง ทัศนคติ เชาวน์ปัญญา ข้างในไม่เหมือนกัน
ความมุมานะ ความตั้งใจ ดูสิ หลวงตาท่านพูด นั่งตลอดรุ่ง นั่งตลอดรุ่งนี่นะ เวลาจิตมันสงบเข้าไป คิดดูสิ คนจิตสงบแล้วมันจะอยู่อย่างนั้นทั้ง ๑๐ กว่าชั่วโมง เป็นไปได้ไหม มันต้องออกไปเป็นธรรมดา เรานั่งเป็นสมาธิ เดี๋ยวมันก็คลายออกมาใช่ไหม เวลาจิตมันคลายออกมา มันออกมารับรู้ร่างกาย แล้วนั่งอยู่อิริยาบถเดียว มันเจ็บปวดแสบร้อน ก็ต้องพุทโธๆ ให้เข้าไปอีก
ท่านบอกว่า ถ้าวันไหนนะ ถ้าพูดถึงจิตมันลงได้ยากนะ โอ้โฮ มันเหมือนกับเรานั่งอยู่ แล้วเอาไฟทั้งกองสุมเรา กระดูกทุกข้อมันปวดหมด ปวดร้าวหมดเลย
เราจะบอกว่าด้วยบุญญาธิการของท่าน ทำไมท่านนั่งได้ ท่านทนได้ ถ้าทนแบบเรานะ ทนปวดนะ โอ้โฮ ทุกข์ตายเลย แต่ทน มีสติแล้วใช้ปัญญาหมุน หมุนเข้าไป พอปัญญามันทัน มันแยกไง แยกความคิด แยกทุกอย่างออก แยกจิตออกจากกายหมดเลย มันก็หายปวด ก็ลง สบายมาก สุขมาก
เราจะบอกว่า มนุษย์เหมือนกัน แต่ทำไมมนุษย์คนหนึ่ง ทำไมมีความขันติธรรม มีความอดทน มีความปัญญา ทำไมทำได้ขนาดนั้น แล้วทำบ่อยๆ ทำแทบทุกคืนเลย ไอ้เรานั่ง ๒ นาที มึงปวดตายห่าแล้ว นี่ไง ต้นทุน เห็นไหม ต้นทุนที่สร้างมามันต่างกันนะ
ถ้าไม่ใช่ต้นทุนสร้างมา เรามานั่ง บวชวัดเทพศิรินทร์เหมือนกันเลย บวชอุปัชฌาย์คนเดียวกัน ต้องมีมุมมองเหมือนกันเลย เดี๋ยวเถียงกันน่าดูเลย เถียงกันทุกเรื่องเลย ต้นทุนก่อนมาบวชมาจากไหน ต้นทุนจิตที่ก่อนมาเกิดมาจากไหน แล้วจิตที่มาเกิดมันมาอย่างไร เราถึงว่าญาติกันโดยธรรมนะ
ทีนี้ความดี ว่าดีชั่วเป็นสมมุติไหม คำว่าสมมุตินี่นะมัน เพราะดีชั่วน่ะมุมมองใคร ดีชั่วของใคร แต่นี่เวลาธรรมะนี่นะ ตรงนี้สรุปเลย
พระพุทธเจ้าสอนให้ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ดีก็ติดไม่ได้
เราทำความดีทั้งนั้นเลย โอ้โฮ สร้างขึ้นมานะ สร้างขึ้นมามหาศาลเลย มรรคญาณ ทุกอย่างเรียบร้อยเลย ดีมากเลย แล้วกอดไว้นะ มรรคหยาบ ทิ้งไม่ได้ จบกระบวนการไม่ได้ อรหัตมรรค อรหัตผล นิพพานหนึ่ง
อรหัตมรรคนี่ ถ้ามึงติดอรหัตมรรค มึงรักษาไว้ มึงไม่ยอมทิ้ง มันจะเป็นอรหัตผลไม่ได้ อรหัตมรรคไง มรรคญาณ ปัญญาของมรรคญาณที่มันหมุนไป วิปยุตเข้าไป! สัมปยุตเข้าไป! สัมปยุตเข้าไป! สัมปยุตเข้าไป เห็นไหม มันระหว่างที่มันเป็นไป สัมปยุตเข้าไป วิปยุตคายออก อรหัตมรรค คายออก อรหัตมรรค พอเวลาคายถึงที่สุด อรหัตผล
วิปยุต สัมปยุต จิตที่มันกระบวนการที่มันยังกระทำกันอยู่ พออรหัตมรรรค อรหัตผล พอสิ้นสุดกระบวนการของ สัมปยุตเข้าไป วิปยุตคายตัวออกปั๊บ หมดแล้ว นิพพานหนึ่ง พูดถึงอะไรไม่ได้อีกแล้ว แล้วถ้ายังติด อรหัตมรรค โอ้โฮ สุดยอดเลยอรหัตมรรค แม่งสุดยอด กอดแม่งไว้นะ มึงไปไหนไม่ได้หรอก มึงกอดความดีไว้ มึงไปไหนได้
โยม : ที่สุดแล้วก็ไม่มีทั้งดีทั้งชั่ว
หลวงพ่อ : ที่สุดแล้ว ถ้าจะพูดอย่างนั้นปั๊บ ถ้าจะพูดที่สุดแล้วไม่มีดีและชั่ว ใช่ มันเป็นธรรมธาตุ มันเป็นวิมุตติ มันเป็นสิ่งที่เหนือ อันนี้ไงมันถึงบอกว่า พระอรหันต์ สุขของพระอรหันต์ อธิบายสุขของพระอรหันต์ วิมุตติสุข สุขพระอรหันต์
สุขของเรานี่นะ เป็นเวทนา มนุษย์ปุถุชน สุขเวทนา ทุกขเวทนา ทุกข์ก็ความรู้สึกคิด สุขก็ความรู้สึกคิด สุขเพราะความพอใจ มันเกิดจากความพอใจ เกิดจากจิต สุขกับทุกข์ ทุกขเวทนา สุขเวทนา ถ้าอธิบายถึงความทุกข์ ทุกขเวทนา อธิบายได้หมดเลย อธิบายถึงสุขก็ใช้เวทนา ใช้ความรับรู้ มีความสุขมาก มีความพอใจมาก รสของกามและรสทั้งปวง รสของกามนะ ทุกคนชอบมาก สัมผัสมาก
แต่ ธรรมรส รสที่เหนือกามล่ะ รสของธรรม! รสของธรรมมันต้องมีน้ำหนักมากกว่า มันถึงที่รสของกาม แล้วผลที่สรุปแล้ว จบแล้ว อยู่ที่ไหน นั่นล่ะวิมุตติสุข วิมุตติสุขมันสุขอย่างไร สุขที่อธิบาย.. ในพระไตรปิฎกไม่มี ครูบาอาจารย์ ถ้าเป็นความจริง มันเป็นเพียงแต่บุคคลาธิษฐาน ตัวอย่าง คำว่าตัวอย่าง ตัวอย่างสินค้า ไม่ใช่สินค้าทั้งหมด ตัวอย่างเปรียบเทียบ
ธรรมะที่แสดงถึงนิพพานที่ ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงแล้วแสดงออกมา เป็นแค่เปรียบเทียบให้เห็นภาพ แต่ไม่ใช่ความจริง เพราะความจริงเอาออกมาให้เห็นไม่ได้ ดีที่ไม่มีโทษ เอ็งลองดีอะไรสิ เอ็งมีอะไรดี มันก็ต้องมีตรงข้าม เพราะไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ แต่ต้องอาศัยความดีนะ บอกว่าดีเป็นสมมุติ ดีชั่วทั่วไปเป็นสมมุติหมด แต่จริงตามสมมุติ เพราะมันดีชั่วคราวไง
อย่างตอนนี้นะ ถ้าเรามีเงิน เห็นไหม มีอะไรที่ดี พอรัฐบาลมันประกาศเลิกใช้ เอ็งเห็นไหม ในท้องตลาด ธนบัตรบางรุ่นเขาเลิกใช้ เห็นไหม เขาเลิกไปแล้วมันดีไหม ทีนี้ พอเลิกแล้วไม่ดีแล้ว เพราะของมีอยู่เต็มเลยไม่มีใครเอา
สมัยก่อน เห็นไหม คนจีนมาจากเมืองจีน เก็บแบงก์กงเต็กไว้เยอะแยะ จะกลับเมืองจีนไง พอเขาปฏิวัติ ตูม เป็นแค่เศษกระดาษเลย น่าสงสารนะ เมื่อก่อนคนจีนเขามาเมืองไทย เห็นไหม เก็บแบงก์จีนไว้มากเลย พอเขามาปฏิวัติปั๊บ เขาก็เปลี่ยน แบงก์นั้นเลิกใช้ กลายเป็นกระดาษ เขาเรียกว่าแบงก์กงเต็ก กงเต็กกันอยู่นี่
แบงก์กงเต็กมันแบงก์จริงนะ เพียงแต่รัฐบาลเขาปฏิวัติ เขาเปลี่ยนรัฐบาล แบงก์นั้นเขาเลิกใช้หมดเลย ของดีๆ เงินแท้ๆ เลยนะ กอดไว้เลยนะ พอเขาสมมุติ เลิกใช้ จบเลย แล้วถ้าคนสะสมไว้นะ สูญเปล่าหมด
โยม : สมมุติสุขนี่ เหมือนกับ.... คือโดยปกติแล้วนี่คือ พอเรารู้สึกดีใจ....(เสียงไม่ชัดเจน)
หลวงพ่อ : เดี๋ยวก็เสียใจ ใช่ ดีเป็นสมมุติ แต่วิมุตติสุขมันขาดไปจากความรู้สึกโลก พูดอย่างนี้เลย มันขาดจากความรู้สึกโลก มันเป็นพลังงานที่เรารู้ตัวตลอดเวลา พลังงานตัวนี้ แล้วเสร็จ หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ไง
ท่านบอกว่า นิพพานเอามาเทศนาว่าการไม่ได้ สิ่งที่เป็นธรรมธาตุมันอ่อนนิ่มมาก มันมีความสุขมาก แต่เวลาจะแสดงตัวออกมา มันต้องแสดงตัวออกมา เสวยสมมุติไง เสวยขันธ์ นี่ไง ที่ว่าพระอรหันต์มีสติ สติเป็นอัตโนมัติ สติพวกเราต้องฝึก แต่เราไม่รู้สึกตัวเพราะอะไร เพราะว่าพลังงานตัวนี้มันขยับ
พลังงานที่เป็นนิพพาน มันต้องขยับออกมาเป็นข้อมูล คือสัญญา คือขันธ์ ๕ ไง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พอมันจะ พลังงาน ดูไฟ ไฟมามันต้องมีพลังงานของมันแน่นอน จิตที่มันขยับออกมา ธรรมธาตุที่มันขยับออกมา ออกมานี่ เพื่อจะพูด เพื่อจะรับรู้ สติมันมาพร้อมไง หลวงตาท่านพูดอย่างนั้นนะ ว่า จิตมันต้องเสวย คือธรรมะมันต้องเสวย คือว่าต้องแสดงตัว พอแสดงตัวออกมาปั๊บ มันก็เข้าไปสื่อกระบวนการของความคิด
ความคิดไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ความคิด
โยม : อย่างนี้เหมือนกับธาตุขันธ์เสวย รูป รส กลิ่น เสียง แล้วก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่าง...(เสียงไม่ชัดเจน)
หลวงพ่อ : ไม่ ถ้าธาตุขันธ์อย่างนั้น ธาตุขันธ์อย่างนั้น เสวยรูปรสกลิ่นเสียง ไอ้นี่มันแค่ธาตุขันธ์ ไม่ใช่ตัวจิตไง
โยม : มันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย
หลวงพ่อ : มันไม่มีความรู้สึกเลย ดูสิ เมื่อสองวันนี้เขามานั่ง เขามาพูด หลวงพ่อ นั่งไปๆ นี่มันชาหมดเลย ปวดมาก ชามาก แล้วทำอย่างไรต่อไป ต้องทนต่อไปไหม เพราะจิตของเรา บางทีมันอุเบกขา มันวางได้
อุเบกขาไม่ใช่ธรรม บางคนมาถามเราว่าอุเบกขาเป็นนิพพาน บอกไม่ใช่ เพราะมันปล่อยโดยไม่มีเหตุผล อุเบกขาคือเรารักษาใจเราไว้ ไม่ให้เอียงซ้ายและขวา อันนี้ไม่รับรู้เลย ถ้าอย่างนี้ไม่รับรู้เลยนี่ มันเหมือนคำว่าสักแต่ว่า หรือมันขาดสติ แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันต้องมีเหตุผล เห็นโทษเห็นภัยแล้ววาง รู้แล้ววางตามความเป็นจริงนี่ถึงเป็นธรรม
แต่ถ้าแบบว่ามันเฉยๆ สักแต่ว่า หรือว่าที่ว่าชา เราบอกเลยขณะที่ชานี่ ทำอะไรแล้วจิตมันเสวย ความดี ความชั่วมันมีความคิดไปตลอด แต่ถ้ามันเป็นตัวของมันเอง เห็นไหม พอมันเป็นตัวของมันเอง มันสักแต่ว่า คือว่ามัน เขาเรียกว่าอะไรนะ เขาเรียกว่า ไอ้สติต้องสมบูรณ์ เราต้องรู้ด้วยความชัดเจนด้วยความสมบูรณ์ของเรา ไม่ใช่ปฏิเสธ มันสักแต่ว่า มันไม่เป็นความจริง ความจริงคือเรารู้จริงเห็นจริงแล้ววางไว้ตามความเป็นจริง
โยม : เหมือนอย่างรุ่นพวกผมน่ะครับ ยังอายุไม่มาก มองผู้หญิงมันก็จะมีความรู้สึก
หลวงพ่อ : แน่นอน ใช่
โยม : แต่พอแบบว่า เอ๊อะ สวย พอไม่เจอปั๊บ มันก็จะลืมไปแล้ว คือหายไปแล้ว มันก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
หลวงพ่อ : ดับไป
โยม : เราก็เฉยเลย
หลวงพ่อ : ดับไป คือมันจะเหลือความตกค้างไว้ ดับไปแล้ว เรานึกถึงภาพนั้นขึ้นมาอีก มันไม่ได้ดับหายไง
โยม : ถ้านึกขึ้นมาอีก
หลวงพ่อ : เออ นึกมาขึ้นมาอีกไง ฉะนั้นไอ้อย่างกรณีอย่างนี้ เราต้องรักษา ศีล เขาเรียกว่าอินทรีย์ สติ พละ สำรวม ระวัง ดูแลรักษา ถ้าเป็นบวชใหม่นะ เราต้องดูแลรักษาตรงนี้ พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้าไง ในศาสนาต้องมีผู้หญิงเข้ามาสัมพันธ์กันมากเลย พระพุทธเจ้าบอกเลย ถ้าเธอไม่พูดไม่ดูกันเลยยิ่งดี ดีที่สุด มีความจำเป็นต้องจัดการ ก็ต้องตั้งสติไว้ เพราะนี่มัน มันเป็นสิ่งที่มันคู่อริกันเลยล่ะ เพศตรงข้าม หญิงกับชาย เป็นคู่อริต่อกัน เป็นคู่อริของธรรม แต่เป็นความดีของกิเลส กิเลสชอบ
โยม : อย่างนี้ก็เหมือนกับให้รู้ทันความคิด อารมณ์ตรงนั้น
หลวงพ่อ : แน่นอนหมด
โยม : แล้วก็ให้รู้จักวางด้วย
หลวงพ่อ : ใช่ ต้องรู้ทันให้หมด ถ้ารู้ทันแล้วเห็นโทษเห็นภัย ฉะนั้นพอผู้ปฏิบัติเอาจริงแล้ว มันถึงจะหลบ คำว่าหลบนะ หลบมาเพื่อฝึกตน ไม่ใช่หลบมาเพื่อหนี พอฝึกตนดีแล้วนะ มันหนีไม่ได้ มนุษย์คือมนุษย์ ต้องอยู่ด้วยกัน แต่ขณะที่กิเลสเรามันรุนแรงกว่า เราไปอยู่แล้ว เราจะไม่เป็นมนุษย์นะ เราจะได้ไปเป็นแบบเขา
แต่ถ้าเราจะรักษาเรานี่ รักษาอย่างไร นี่พอเวลาพวกเรา พระปฏิบัติ เขาถึงพยายามหลบหลีก พยายาม ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นรู้จริง เพราะเหมือนกับเรา เราเป็นพ่อแม่คน เด็กมันต้องการอะไร มันร้องไห้เพื่อเหตุใด เหมือนกัน พอกิเลสพอใจมันเรียกร้องอะไร รู้หมด เพราะเราผ่านมาหมดแล้วไง
ครูบาอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ ท่านรักษาตรงนี้มากนะ อยู่กับหลวงตาท่านบอกเลย ศาลาห้ามออกมายุ่ง สมัยเรานะ พอฉันเสร็จ อะไรเสร็จ ต้องหลบอย่างเดียวเลย เว้นไว้แต่ผู้ที่มีหน้าที่ ใครออกมา ออกมาสัมผัสกับญาติโยม โดนไล่ออกทันที ท่านเหมือนกับพวกเรานี่ เหมือนกับพวกเราเด็ก มันไม่ระวังภัย มีคนปกป้องให้ ดูแลให้อยู่แล้ว แต่เรายังดื้อด้าน ยังคิดว่าตัวเองแน่ไง มันยังไม่ไปโดนภาพประทับใจ ภาพประทับใจหมายถึงว่าคู่เวรคู่กรรม เจอทีเดียวช็อกเลย เอ้อ สลบตายเลย
โยม : เหมือนอย่างเราๆ เวลาตอนเช้าๆ ญาติโยมมา
หลวงพ่อ : ไอ้อย่างนี้มันเรื่องสุดวิสัย คำว่าสุดวิสัยเพราะเราอยู่บ้านตาดมา หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ทุกอย่างกันให้ได้หมดเลย เว้นไว้แต่เรื่องอาหาร เพราะตอนเช้านี่เขามาทำบุญของเขา คือสิทธิผลประโยชน์ของเขา
ท่านเตือนพระ เวลาอยู่กับท่าน ท่านเตือนหมด ทุกอย่างในวัดท่านไม่ให้เข้า ไม่ให้เข้ามาสัมผัส ไม่ให้เข้ามายุ่งเลย เว้นไว้แต่ตอนมาฉันข้าว คำว่ามาฉันข้าวนี่นะ เขามาทำบุญของเขา ในพุทธศาสนา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตามสิทธิ ตามในหลักธรรม ศีลธรรม จริยธรรม
แล้วเราจะไปตัดทอนสิทธิ เขาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เขาแสวงหาความดีเหมือนกัน เขาต้องการบุญกุศลของเขา แล้วเราไปปิดกั้นของเขา เราไม่เป็นธรรม ฉะนั้นเวลาเขามา เขาตามสิทธิ ตามหน้าที่ของเขา เพราะเขาปรารถนา หน้าที่ของพระ หน้าที่ของผู้รับ หน้าที่ของผู้ที่จะรักษาตน จะทำอย่างไร
ถ้าเป็นอย่างอื่น ท่านตั้งกฎกติกา ห้ามได้ แต่เรื่องนี้มันเป็นความปรารถนา มันเป็นสิทธิที่มันเป็นธรรม มันเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริงที่ผู้อยากได้ แล้วมันอยากได้ความถูกต้อง เพราะเขาทำบุญของเขา แต่! แต่อย่างที่ว่านี่ ท่านมีเลศนัย
กุศลทำให้เกิดอกุศลไง กุศลทำให้เกิดอกุศล
แหม ไปปิ๊งพระองค์ไหนนะ แล้วกูจะเอาข้าวมาให้มึงเรื่อยๆ กุศลทำให้เกิดอกุศล กุศล ทำบุญกุศล แต่เกิดอกุศลของใจไง นี่ไง กรรมของเขา กรรมของสัตว์ เนาะ เอวัง